ถ้าจะพูดถึงการ "กว้านซื้อที่ดินทั่วโลก" ของคนจีนแล้ว เอาจริงๆ มันมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ และหลายๆ ประเทศก็อาจมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการทำแบบนี้ของคนจีนเท่าไร
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าหลายๆ ประเทศไม่ได้มี "ข้อห้าม" ในการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ เพราะเค้าถือว่าใครเป็นเจ้าของก็ต้องจ่าย "ภาษีที่ดิน" ทั้งนั้น และคนที่จะมีรายได้ก็คือ ท้องถิ่น หรือพูดอีกแบบรายได้มันกลับมาที่ "ประชาชน" อีกที เค้าเลยไม่ซีเรียส และภายใต้การ "ยึดหลักการ" แบบนี้ แม้หลายๆ ชาติจะไม่ได้ชอบ "ชาวต่างชาติ" มากนัก แต่ก็ถือว่า ไม่มีสิทธิ์จะไปไล่ชาวต่างชาติออกจากที่ดินที่ซื้ออย่างถูกกฎหมายและเสียภาษีให้กับเทศบาลทุกปี
ซึ่งประเด็นนี้ สถานการณ์ในญี่ปุ่น ณ ปัจจุบัน มัน "น่าสนใจ" ในหลายมิติ
หลายคนคงรู้ว่า ช่วงหลังๆ ญี่ปุ่นเริ่มเปิดให้ชาวต่างชาติไปทำงานในประเทศมากขึ้น เพราะประชากรญี่ปุ่นลดลงเกินกว่าที่ระบบเศรษฐกิจจะดำเนินการได้ดังเดิมแล้ว ดังนั้น คนจากทั่วทุกสารทิศเลยไป "ทำงาน" ที่ญี่ปุ่น และทำให้ชาวต่างชาติในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ในปัจจุบันชาวต่างชาติในญี่ปุ่นมีประมาณ 3.5 ล้านคน และในนั้นเป็นคนจีนกว่า 800,000 คน ซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่มีจำนวนมากสุดในญี่ปุ่น หรือพูดง่ายๆ ชาวต่างชาติ 4 คน จะเป็นคนจีนประมาณ 1 คน
ทำไมถึงเป็นแบบนี้? บางคนอาจไม่แปลกใจ เพราะญี่ปุ่นมีประกาศ "แจกบ้านฟรี" มาพักใหญ่ เพราะเด็กเกิดน้อย คนหนุ่มสาวเข้าทำงานในเมือง ชนบทไม่มีคนอยู่เป็นข่าวไปทั่วโลก ก็ไม่แปลกที่คนจีนจำนวนมหาศาลจะไปรับบ้านที่ "แจกฟรี" พวกนี้ และด้วยความที่คนจีนมีเยอะ ก็ไม่แปลกที่สุดท้ายแล้ว คนที่จะได้บ้านพวกนี้ไปเยอะสุดคือ "คนจีน"
แต่ความเป็นจริง มันซับซ้อนกว่านี้มากๆ เพราะต้องอธิบายจากฝั่งจีน ซึ่งฝั่งคนจีนก็ไม่ได้มีแค่คนกลุ่มเดียวที่มาไล่ซื้อ "บ้านพร้อมที่ดิน" ที่ญี่ปุ่น และเหตุผลของคนแต่ละกลุ่มก็ต่างกัน โดยเราอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ต้องการแสวงหาชีวิตที่ดี กลุ่มนักลงทุนอสังหาต้องการตลาดใหม่ และกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ที่อาจมีเหตุผลแอบแฝง
กลุ่มแรก คนจีนรุ่นใหม่ต้องการแสวงหาชีวิตที่ดี
คนกลุ่มนี้โดยพื้นฐานเป็นคนที่ผิดหวังกับ "ไชนีสดรีม" เพราะคนรุ่นใหม่ไม่มีปัญญาจะเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์สตูดิโอในเมืองใหญ่ๆ ของจีนได้ ด้วยหลายเหตุผล ตั้งแต่ราคาสูงมาก บังคับให้ดาวน์แพงมาก ไปจนถึงการที่ในจีน "ที่ดิน" เป็นของรัฐ ไม่ใช่ของประชาชน ต่างจาก "โลกเสรี" แบบญี่ปุ่นที่ทุกคนที่ซื้อที่ดินคือ "เจ้าของ" ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติ
คนกลุ่มนี้ พวกหนึ่งก็หนีไปอยู่บ้านนอกอันไกลโพ้นของจีน แต่อีกด้านหลายคนก็เห็นลู่ทางว่าเงินเท่ากันนั้น เอามาซื้อบ้านเดี่ยวที่บ้านนอกญี่ปุ่นได้ และถ้าซื้อตนก็จะเป็น "เจ้าของ" จริงๆ ซึ่งนี่ทำให้คนรุ่นใหม่จีนมองว่า ถ้าจะเก็บเงินไปซื้ออพาร์ตเมนต์ตามบ้านนอกจีน สู้เอาเงินมาซื้อบ้านตามบ้านนอกญี่ปุ่นดีกว่า ซึ่งบ้านพวกนี้จำนวนไม่น้อยคือบ้านจำพวกเดียวกับ "บ้าน 0 เยน" ที่แจกฟรีเพราะคนญี่ปุ่นไม่เอา เพียงแต่เกรดดีกว่า อยู่ในทำเลดีกว่า ซึ่งการบอกว่าบ้านเดี่ยวราคา 1-2 ล้านบาทมีทั่วไปตามพวก "เมืองรอง" ในญี่ปุ่นก็ไม่เกินจริงเลย ซึ่งญี่ปุ่นโครงสร้างพื้นฐานดีหมด อากาศดี ถนนสะอาด น่าอยู่ อย่าว่าแต่คนจีนเลย คนไทยอย่างเรายังอยากอยู่เลย
ดังนั้น คนจีนรุ่นใหม่ๆ เลยมาอยู่ญี่ปุ่นกันเพียบ คือจะมาอยู่จริงๆ แบบตั้งรกรากเลย เพราะคนจีนมองว่าระบบการศึกษาญี่ปุ่นดี ส่งลูกเรียน และโรงเรียนท็อปๆ บางโรงเรียนคือนักเรียนใหม่ เป็นคนจีนไปแล้ว 10%
คนจีนกลุ่มนี้ ว่ากันตรงๆ ก็น่าเห็นใจ พวกเค้าต้องการชีวิตที่ดีกว่าแผ่นดินจีน และเค้าคิดว่าคุณภาพชีวิตญี่ปุ่นมันดี เค้าเลยมาอยู่ แต่ "ปัญหา" จริงๆ คือ สองกลุ่มหลัง
กลุ่มที่สอง กลุ่มนักลงทุนอสังหาหาตลาดใหม่
ต้องเข้าใจก่อนว่าตลาดอสังหาจีนกำลังเละ มูลค่าลดฮวบ การเก็งกำไรในจีนไม่เวิร์ค นักลงทุนอสังหาในจีนก็มาหาตลาดใหม่ ซึ่งญี่ปุ่นก็อุดมคติมาก ค่าเงินตก ทุกอย่างราคาถูก รวมทั้งอสังหา กลับกัน ตัวเลขนักท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเพิ่มอย่างบ้าคลั่งมาก และญี่ปุ่นน่าจะกลายเป็นชาติเอเชียที่คนไปเที่ยวรองจากแค่จีนแล้ว (ก่อนหน้านี้ไทยคืออันดับ 2 และการผงาดด้านการท่องเที่ยวญี่ปุ่นหลังโควิดทำให้ไทยตกเป็นอันดับ 3) และก็ไม่แปลกที่ในญี่ปุ่นจะมีข่าวพวกคนจีนกว้านซื้อพวกอาคารแถวสถานที่ท่องเที่ยว แล้วมาปรับเป็นห้องพักระยะสั้นให้นักท่องเที่ยวเช่า
ก็ไม่น่าแปลกใจที่คนท้องถิ่นจะไม่พอใจ เพราะจริงๆ นี่คือปรากฏการณ์ที่ปรากฏในสเปนและโปรตุเกส คนจีนชอบไป "ลงทุน" ซื้อที่ใจกลางเมืองและเอาไปให้เช่าผ่านแพลตฟอร์มแบบ Airbnb กันมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ทำแบบนี้เช่นกันในญี่ปุ่น บรรยากาศแบบนี้ยิ่งได้รับการหนุนจากการที่มีคนจีนในญี่ปุ่นมากขึ้น ดังนั้น สินค้าและบริการที่เน้นบริการคนจีนเลยมีมากขึ้น โดยอะไรพวกนี้ เราอยู่ในไทย เราเห็นอยู่แล้ว ไม่ต้องยกตัวอย่างลงรายละเอียดมากก็นึกออก ประเด็นคือ ปรากฏการณ์แบบนี้กำลังเกิดในญี่ปุ่น อะไรแบบ "ทัวร์ 0 เหรียญ" กำลังเกิดในกลางกรุงโตเกียวไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงอะไร
เรื่องแบบนี้ คนญี่ปุ่นไม่ชอบแน่ๆ เช่นเดียวกับคนชาติอื่นทั่วโลกที่รังเกียจปรากฏการณ์ที่นักลงทุนอสังหาจีนทำให้เกิดขึ้น แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับพวกกลุ่มสุดท้าย
กลุ่มที่สาม กลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ที่อาจมีเหตุผลแอบแฝง
ต้องเข้าใจก่อนว่า ในอดีตถึงต่างชาติซื้อที่ดินในญี่ปุ่นได้ คนก็ไม่ค่อยซื้อ เพราะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม (ราคาที่ดินที่ญี่ปุ่นถูกแช่แข็งมาตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1990 ที่ "ฟองสบู่แตก") แต่พอคนเริ่มซื้อเยอะ ก็ยิ่งกระตุ้นให้คนซื้อตาม และในบรรดาคลื่นการกว้านซื้อ ก็มีการซื้อที่ "อาจหวังผลทางการเมือง" ด้วย
ในอดีตญี่ปุ่นไม่เคยมีกฎหมายกำกับการซื้อที่ดิน แต่วันดีคืนดี ทางการเริ่มสังเกตว่า ใกล้ "สถานที่อันอ่อนไหวต่อความมั่นคง" เริ่มมีต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินเยอะขึ้น โดย ณ ปี 2022 ที่เริ่มออกกฎหมายห้ามต่างชาติซื้อ "ที่ดินที่มีความอ่อนไหวต่อความมั่นคง" ขึ้น ต่างชาติที่ซื้อไว้ก่อนหน้านั้นก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะรัฐบาลโลกเสรี จะไปยึดที่ดินที่คนถือครองโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้
พวกสถานที่อ่อนไหวต่อความมั่นคงก็เช่น พวกฐานทัพ (ทั้งของกองกำลังป้องกันตัวเอง และของอเมริกัน) สนามบิน ท่าเรือ หรือพวกพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ยึดแล้วคือยึดประเทศได้ โดยในปี 2022 ที่กฎหมายนี้ออกมา มีรายงานว่า มีชาวต่างชาติถือครองแปลงที่ดินใกล้สถานที่พวกนี้เกือบ 400 แปลง และก็ไม่ต้องเดาว่าชาติที่ถือครองมากที่สุดกว่า 200 แปลง คือ จีน โดยที่ดินจำนวนไม่น้อยถูกซื้อในนามบริษัทของคนจีน
ที่ดินพวกนี้ไม่ใช่ที่ดินราคาถูก ไม่เหมาะแก่การลงทุนด้านท่องเที่ยว ดังนั้น พวกคนจีนรุ่นใหม่และนักลงทุนอสังหามักจะไม่สน แต่คำถามคือ พวกบริษัทจีนที่ซื้อเอาไว้ ซื้อเอาไว้ทำไม? นี่คือปริศนาที่ชวนขนหัวลุกทางความมั่นคงที่ทำให้ทางการญี่ปุ่นต้องออกกฎหมายมายุติการเข้ายึดพื้นที่ใกล้สถานที่สำคัญทางความมั่นคงแบบนี้ในที่สุด
กล่าวรวมๆ ถ้ามองในภาพใหญ่ เราจะเห็นเลยว่า คนจีนซื้อที่ดินทั่วญี่ปุ่นจริงๆ ถ้ามาดูตัวเลขเราก็อาจจะรู้สึกว่า คนจีนพยายามจะยึดญี่ปุ่นก็ไม่ผิด แต่ประเด็นอีกด้านก็คือ "เจตนา" ก็ต่างจริงๆ มันมีคนจีนแบบที่ต้องการแค่แสวงหาชีวิตที่ดีกว่าชีวิตในแผ่นดินจีนแบบพวกคนจีนโพ้นทะเลในยุคที่จีนยังยากจน มีคนจีนที่ก็แค่ประกอบธุรกิจในแบบ "จีนๆ" เช่นเดียวกับที่เค้าทำทุกที่ในโลก และมันก็มีองค์กรจีนที่น่าสงสัยว่ามีเหตุผลแอบแฝงอะไรบางอย่างหรือเปล่าที่เข้ามา "ยึดพื้นที่" ใกล้สถานที่สำคัญทางความมั่นคง
แต่ทั้งหมดนี้ กระแสรวมๆ ยังเป็นขาขึ้น และใน 10 ปีข้างหน้า ถ้าเราไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกที เราอาจเห็นหลายๆ อย่างที่เราไม่คาดว่ามันจะเห็นที่ญี่ปุ่นก็ได้ เช่น การที่ร้านค้าแถวอาซากุสะหน้าตาเหมือนแถวงห้วยขวาง เป็นต้น ก็เป็นได้
อ้างอิง
Growing number of Chinese now call Japan home
Why Young Chinese are Trading City Life for Japan’s Ultra-Cheap Homes
Japan’s private schools growing popular among Chinese parents
Japan’s delicate surge of top-tier Chinese workers
‘Japan’s neighbourhood more dangerous’? Fears over Chinese land purchases