Skip to main content

 

Libertus Machinus
 

 

ทุกวันนี้ถ้าใครตามข่าวป็อปคัลเจอร์ น่าจะพอคุ้นชื่อ Brian Johnson ก็แน่นอน บางคนอาจรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นมานาน แต่ประเด็นคือ ณ ปี 2025 ชื่อของ Brian Johnsonไม่ใช่เพียงชื่อของนักร้องนำวงฮาร์ดร็อคระดับตำนานอย่าง AC/DC อีกแล้ว แต่เป็นชื่อของเศรษฐี Startup ชาวอเมริกันวัย 47 ปีผู้พยายามจะ "เป็นอมตะ" โดยสิ่งที่เค้าพยายามทำ ก็เป็นประเด็นหลักของสารคดีชื่อ Don’t Die ที่ฉายใน Netflix ในปี 2025

ถ้าจะกล่าวสั้นๆ Johnson ใช้เงินปีละกว่าสิบล้านบาท ทำการ "ทดลอง" สารพัด ทั้งออกกำลังกาย กินอาหารเสริม และผ่านทรีตเมนต์สารพัด เพื่อทำให้ค่าต่างๆ ของร่างกายของเค้ากลับไปเป็นเหมือนตอนอายุน้อย และเค้าก็เคลมว่าทำสำเร็จ มีตัวเลขยืนยันทางการแพทย์ ซึ่งพอทำสำเร็จ เค้าก็เริ่ม ขายคอร์สตั้งแต่อาหารเสริมที่เขากิน รวมถึงโครงการออกกำลังกาย การนอนหลับ และทรีตเมนต์อื่นๆ เรียกว่า เริ่มที่เดือนละประมาณ 10,000 บาท จะไปจบแบบเต็มคอร์สที่เดือนละ 50,000 บาท

ประเด็นไม่ใช่ว่า นี่เป็นแผนการตลาดอันชาญฉลาดของ Johnson ที่ทำการทดลอง "ย้อนวัย" จนสำเร็จ เป็นข่าว เป็นสารคดี แล้วก็เอาตัวเองมาเป็น "ฟรีเซนเตอร์สินค้า" ซะเลย แต่ประเด็นมันคือเทรนต์ของอุตสาหกรรม "เสริมสุขภาพ" (Wellness) ในทศวรรษ 2020 เพราะต่อจากนี้ไป จะเอาอะไรมาขาย มันอาจมีผลวิจัยทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่าทำแล้ว "เสริมสุขภาพ" ได้จริงไม่พอ แต่มันต้องมี "พรีเซนเตอร์" ที่เป็นมากกว่าพรีเซนเตอร์อาหารเสริมที่มาพูดบรรยายสรรพคุณแบบทุกวันนี้ แต่ต้องเอาผลตรวจร่างกายมาโชว์ตัวชี้วัดต่างๆ ว่าทรีตเมนต์คือดีจริง ได้ผลจริง มีตัวชี้วัดทางการแพทย์จริง ไม่ใช่แค่เป็น "ความรู้สึก" หรือ "ความเห็น" ของผู้ใช้จริง

ประเด็นที่นัยยะมันน่าขนลุกไม่ใช่เพราะมันทำไม่ได้จริง แต่เพราะเมื่อมันทำได้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นมันสะเทือนไปทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ "รัฐสวัสดิการ"

ณ ตอนนี้ การพูดว่า “ความแก่ชราเป็นโรคที่ต้องรักษา” อะไรพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าขันแบบตอนที่ผู้บุกเบิกเรื่องนี้อย่าง Aubrey de Grey เขียนหนังสือ Ending Aging มาในปี 2007 แล้ว แต่สิ่งที่ de Grey พูดเอาไว้ในอดีตที่น่าสนก็คือ เค้าบอกว่าจริงๆ มนุษย์มีศักยภาพจะพัฒนาเทคโนโลยีลดอายุกันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ปัญหาคือภาครัฐไม่ให้เงินในการวิจัยและพัฒนา

อันนี้อยากให้คิดตามง่ายๆ ถ้านักวิจัยจะไปขอเงินวิจัยเทคโนโลยีย้อนอายุเซลล์มนุษย์ไป 10 ปี กับขอเงินวิจัยยารักษาโรคสักอย่างที่เป็นปัญหาสาธารณสุข รัฐจะให้เงินวิจัยกับใคร? แม้ว่าสถานการณ์จริงอาจไม่ขาวดำแบบนี้ แต่มันก็นึกตามไม่ยากว่ารัฐจะไม่ให้เงินคนไปวิจัยเพื่อจะสร้าง “มนุษย์อมตะ” หรอก โดยเฉพาะในยุคที่ “สังคมผู้สูงอายุ” มันหนักขนาดนี้ หรือพูดง่ายๆ คนอายุยืนแค่ปัจจุบัน ในยุคที่คนเกิดน้อยลง กองทุนประกันก็แทบไม่มีปัญญาจะจ่ายเงินบำนาญประกันสังคมให้แล้ว ถ้าคนอายุยืนไปกว่านี้ จากมุมของรัฐมันไม่ใช่เรื่องดี มันคือ “รายจ่าย” ทั้งนั้น

พูดง่ายๆ คือ รัฐสวัสดิการก็ไม่ได้อยากให้คน "อายุยืน" เพราะคนอายุยืนไปรัฐสวัสดิการล่ม และอยากให้ไม่ล่ม วิธีการก็คือยืดอายุเกษียณ หรืออายุที่จะเริ่มจ่ายบำนาญประกันสังคมซะ โดยรัฐสวัสดิการชั้นดีอย่างเดนมาร์กก็เลือกอายุเกษียณไปเป็น 70 ปีให้โลกเห็นไปแล้ว

แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกประเทศที่จะยอมให้เลื่อนอายุเกษียณง่ายๆ ประเทศที่มีวัฒนธรรมประท้วงโหดๆ อย่างฝรั่งเศสแค่จะขึ้นอายุเกษียณจาก 62 เป็น 64 ปี คนยังประท้วงกันวุ่นวาย ดังนั้นนี่เป็นสิ่งที่รัฐจำนวนมากหลีกเลี่ยง และนั่นคือรัฐก็ต้องดูแลคนจนตาย โดยห้ามเลื่อนอายุที่จะเริ่มจ่ายบำนาญ

นั่นหมายความว่า ยิ่ง "ยืดชีวิต" มันก็ยิ่งสร้างความเสี่ยงทางการคลังให้กับรัฐ และก็ไม่แปลกว่าถ้ามีทรีตเมนต์แบบ "ย้อนวัย เพิ่มอายุขัย" ถึงจะพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ทุกประการ แต่ของพวกนี้ก็จะไม่ถูกเอามารวมอยู่ในสิ่งที่ระบบประกันสุขภาพครอบคลุม

นี่คือเรื่องสำคัญ เพราะพื้นฐานแล้ว ระบบประกันสังคมแม้ว่าจะดีเลิศขนาดไหน เต็มที่จะเป็นการ "ป้องกันและรักษาโรค" เท่านั้น มันไม่รวมถึงการ "ป้องกันและรักษาความแก่ชรา" เพราะท้ายที่สุด จากมุมของรัฐ "ความแก่ชรา" มันไม่ใช่โรค และมันไม่มีทางจะเป็นโรคได้ เพราะถ้ารัฐยอมรับว่าความแก่ชราเป็นโรคเมื่อไร รัฐก็จะถังแตกทันที เพราะรัฐไม่มีทางจะมีเงินมาจ่ายเพื่อรักษาประชาชนจากความแก่ชรา

พูดง่ายๆ จากมุมของรัฐ เส้นแบ่งระหว่างการแพทย์ (Medicine) กับการเสริมสุขภาพ (Wellness) ยังไงก็จำเป็นต้องมี เพราะในทางการคลัง รัฐไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับการยืดอายุพลเมืองไปเรื่อยๆ

และนี่นำเรากลับมาที่ Brian Johnson คือ ถึงที่เค้าทำทุกอย่างจะได้ผลจริง ยืดอายุได้จริง มีตัวชี้วัดทางวิทยาศาสตร์มารองรับ แต่สิ่งเหล่านี้ประชาชนแม้แต่ในประเทศที่มีสวัสดิการด้านรักษาพยาบาทดีที่สุด ก็จะเข้าไม่ถึง

นี่ก็เลยนำเราไปสู่ฉากแบบหนังไซไฟจริงๆ ว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคที่คน "จ่ายเงินซื้ออายุขัย" กันได้จริงๆ แล้ว ผ่านการซื้อแพคเกจเสริมสุขภาพ ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์

กล่าวคือ พวกคอร์สเสริมสุขภาพจะไม่ใช่พวกทรีตเมนต์แนว "วิทยาศาสตร์เก๊" ที่ถูกนักการตลาดทำให้ดูน่าเชื่อถือ ทำเพื่อขายคอร์สให้คนรวยอีกแล้ว แต่มันจะเริ่มเป็นทรีตเมนต์ที่ "ยืดอายุขัย" ได้จริงๆ

ใช่แล้ว ในอีกไม่กี่พริบตา การไปทรีตเมนต์ยืดอายุของ "คนมีเงิน" ก็อาจเป็นสิ่งที่ไม่ต่างจากคนมีเงินไปทำโบท็อกซ์ ไปดึงหน้า หรือกระทั่งไปรับยา GLP-1เพื่อลดความอ้วนแล้ว ทั้งหมดเหมือนกันตรงที่คนไม่มีเงินก็จะเพียงได้แต่มองตาบริบๆ และนี่คือเรากำลังเข้าใกล้โลกที่ "ความตายเป็นเรื่องของคนจนเท่านั้น" แบบในหนังไซไฟอย่าง In Time (2011) หรือ Paradise (2023)


อ้างอิง
Immortality at a price: how the promise of delaying death has become a consumer marketing bonanza 
Start Your Longevity Journey
 

อ่านบทความอื่นๆ ของผู้เขียน