คนที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็นประจำ อย่างเช่น รถไฟฟ้า คงต้องเคยเห็นคนแก่ยืนจับเสาโยกเยกไปมาในระหว่างที่ขบวนรถกำลังวิ่ง แม่ที่อุ้มท้องยืนโหนรถไฟฟ้า หรือไม่ก็เป็นภาพของพ่อยืนแบกลูกบนบ่า มืออีกข้างจับราว หรือภาพของเด็กยืนจับเสาหรือจับชายเสื้อพ่อแม่เพื่อทรงตัว โดยที่ไม่มีใครสละที่นั่งให้
มีงานวิจัยที่พบว่า คนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นน้อยกว่าคนสมัยก่อน งานวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา ในปี 2010 พบว่า คนรุ่นใหม่ปัจจุบันมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นน้อยกว่าคนรุ่นเมื่อ 20 หรือ 30 ปีก่อนถึงร้อยละ 40 ขณะที่ระดับความหลงตัวเองเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 58 ซึ่งแนวโน้มนี้เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับวัฒนธรรมการเซลฟี่ และการกลั่นแกล้งรังแกกันในโรงเรียน
งานวิจัยดังกล่าวถูกนำเสนอในงานประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมจิตวิทยาของสหรัฐ โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลนักศึกษาระดับปริญญาตรีเกือบ 14,000 คนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่า คนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นน้อยกว่าคนรุ่นใหม่ในยุคทศวรรษ 1980 และ 1990
ซารา คอนราธ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโกกล่าวว่า จุดที่ความเห็นอกเห็นใจคนอื่นลดฮวบลงคือ หลังปี 2000 เป็นต้นมา
“เด็กๆ ของเรากลายมาเป็นพวกที่ติดหน้าจอเอามากๆ เมื่อช่วงราวปี 2000 มันเลยเป็นเรื่องที่ยากมากที่พวกเขาจะเห็นอกเห็นใจคนอื่น และรู้สึกถึงคนอื่น คุณไม่มีรู้เท่าทันเรื่องอารมณ์จากทางหน้าจอได้หรอก และเช่นเดียวกับที่ไม่สามารถรู้เท่าทันอารมณ์ด้วยอิโมจิต่างๆ ได้” ดร.มิเชล บอร์บา นักจิตวิทยาการศึกษา ผู้เขียนหนังสือ UnSelfie: Why Empathetic Kids Succeed in Our All-About-Me World กล่าว
การศึกษาพบว่า เมื่อเทียบกับนักศึกษายุคปลายทศวรรษ 1970 นักศึกษาปัจจุบันเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้น้อยกว่า เช่น “บางครั้งฉันพยายามจะเข้าใจเพื่อนๆ ให้มากขึ้นด้วยการลองจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ จากมุมมองของพวกเขา” หรือ “ฉันมักจะอ่อนโยน ห่วงใยความรู้สึกของคนอื่นที่โชคไม่ดีเท่าฉัน”
“คนจำนวนมากเรียกกลุ่มนี้ว่า คนเจนเนอเรชัน Me เหมือนจะบอกว่าเป็นคนที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง หลงตัวเอง ชอบแข่งขัน มั่นใจในตัวเอง และเป็นปัจเจก” ซารากล่าว
ดร.มิเชลอธิบายว่า สิ่งที่ขับเคลื่อนเซลฟี่ซินโดรมเกิดจากวัฒนธรรม “เซเลบ” ที่หนักหนาสาหัสมากขึ้น รวมถึงการเลี้ยงลูกให้มีการแข่งขันสูง การให้ความสำคัญกับการสอบที่โรงเรียนมากเกินไป รวมถึงการเพิ่มขึ้นของความหลงใหลวัตถุ
อย่างไรก็ดี นักวิจัยระบุว่า การเห็นอกเห็นใจคนอื่นเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ควรจะทำ และกล่าวว่า เด็กที่ห่วงใยและเห็นใจคนอื่น จะมีความสุขมากกว่า และมีความขัดแย้งในชีวิตที่น้อยกว่า
“คนรุ่นใหม่ปัจจุบันอาจวุ่นวายอยู่กับเรื่องของตัวเอง และปัญหาของตัวเอง จนทำให้พวกเขาไม่มีเวลาที่จะเห็นอกเห็นใจคนอื่น” เอ็ดเวิร์ด โอไบรอัน หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว
นักวิจัยแนะนำว่า แม้จะเป็นยุคของเทคโนโลยี แต่พ่อแม่ก็สามารถกระตุ้นให้ลูกๆ มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ โดยสอนวิธีการควบคุมตัวเอง การสร้างนิสัยที่ดีบนโลกออนไลน์ รวมถึงการเป็นพลเมืองเน็ตที่ดี
นักวิจัยกล่าวว่า ไม่มีทางลัดที่จะทำให้ลูกๆ มีความเห็นอกเห็นคนอื่นได้ในชั่วข้ามคืน เพราะเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา และต้องการการพูดคุย ต้องการการเป็นแบบอย่างที่ดี และการเสริมสร้างทักษะด้านอารมณ์ รวมถึงต้องการความตั้งใจและความรับผิดชอบ รวมถึงการสร้างสมดุลในการใช้เทคโนโลยีบนหน้าจอ
อ้างอิง
Our Kids Are Losing Their Empathy & Technology Has A Lot to Do With It
Empathy: College students don’t have as much as they used to