Skip to main content

 

ผลการสำรวจในสหราชอาณาจักรเมื่อเร็วๆ นี้ โดยสำนักพิมพ์ HarperCollins พบว่า พ่อแม่คนรุ่นหนุ่มสาวโดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นคนรุ่นเจน Z ไม่อ่านหนังสือให้ลูกๆ ฟัง และ 1 ใน 3 มองว่า การอ่านหนังสือคือ การเรียนมากกว่าเป็นความสนุกสนานเพลิดเพลิน

สเปนเซอร์ รัสเซลล์ อดีตครูโรงเรียนประถม โพสต์คำถามบนอินสตาแกรมกับบรรดาพ่อแม่ที่ติดตามเขาถึงเหตุผลที่ไม่อ่านหนังสือให้ลูกๆ ฟัง

พ่อแม่บางรายตอบว่า “เพราะมันน่าเบื่อมาก” บางรายตอบว่า “ไม่มีเวลา” ขณะที่พ่อแม่รายหนึ่งตอบว่า “ไม่สนุกกับการต้องอ่านหนังสือ” ส่วนพ่อแม่รายอื่นๆ ที่เคยอ่านนิทานให้ลูกๆ ฟัง ตอบว่า มักถูกลูกๆ ขัดจังหวะตลอดเวลา หรือไม่ลูกๆ ของพวกเขาอยากให้ข้ามไปหน้าต่อไปตลอด  

“เราเห็นเด็กๆ สามารถนั่งนิ่งๆ อยู่กับหน้าจอยูทูปได้นานหลายชั่วโมง แต่พอให้พวกเขานั่งลงและอยู่กับหนังสือ เด็กๆ จะขยับตัวยุกยิกตลอดเวลา หรือไม่ก็กรีดร้องและวิ่งหนีไป” สเปนเซอร์กล่าว

ลูกๆ ของคนเจน Z ได้รับผลกระทบจากการที่พ่อแม่เติบโตมาท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่คลอนแคลนไม่แน่นอน การที่จะส่งลูกๆ ไปศูนย์ดูแลเด็กที่มีการอ่านหนังสือให้เด็กๆ ฟัง ค่าใช้จ่ายก็สูงถึงปีละ 11,000 ดอลลาร์ ภาวะการดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดในทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้การอ่านหนังสือก่อนนอนให้ลูกฟังเป็นเรื่องที่เหนื่อยเกินไป แม้ว่าพ่อแม่เหล่านี้จะเห็นความสำคัญของการอ่านหนังสือก็ตาม

นอกจากนี้ คนเจน Z ยังเป็นคนรุ่นแรกที่โตมากับหน้าจอสมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต และหน้าจออื่นๆ สเปนเซอร์บอกว่า เวลาที่อยู่กับหน้าจอได้เข้ามาแทนที่การปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพระหว่างพ่อแม่เจน Z กับลูกๆ ของพวกเขา

มีหลักฐานว่า การอยู่กับหน้าจอมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสติปัญญาของเด็กๆ รวมถึงเรื่องการใช้ภาษา และพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม แพทย์หลายคนแนะนำว่า พ่อแม่ควรจำกัดเวลาที่อยู่กับหน้าจอของเด็กๆ อายุ 2 ถึง 5 ปี ไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันจันทร์ถึงศุกร์ และไม่เกิน 3 ชั่วโมงในวันหยุดสุดสัปดาห์

ดาวน่า ดัฟฟ์ รองศาสตราจารย์ทางด้านการแก้ไขความผิดปกติทางภาษาและการพูด จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม บอกว่า เด็กๆ ที่ไม่ได้ฟังการอ่านจากพ่อแม่ที่บ้าน มักมีปัญหาในการจับประเด็นเวลาที่มีคนพูด และมักมีปัญหาในการเรียน

“หนังสือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่รุ่มรวยด้วยคำใหม่ๆ ถ้าหากเด็กๆ ไม่มีประสบการณ์ในการอ่านหนังสือที่บ้าน เมื่อเข้าโรงเรียนพวกเขามักจะรู้คำศัพท์น้อยกว่า นั่นทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมากในการประสบความสำเร็จหลังเรียนจบ”  ดาวน่ากล่าว

การระบาดใหญ่ของโควิด ส่งผลเสียร้ายแรงกับการเรียนของนักเรียน ในสหรัฐอเมริกาเกิดคำว่า “วิกฤตการรู้หนังสือ” หรือ literacy crisis รายงานเมื่อปลายปี 2024 พบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐจำนวนมากสอบตกในการเขียน เพราะไม่ได้อ่านหนังสือมากพอในตอนที่เรียนมัธยม ขณะที่ผลทดสอบวิชาคณิตศาสตร์และการอ่านของนักเรียนอเมริกันทำคะแนนได้ต่ำสุดในรอบ 30 ปี  

เบ็คกี้ คาลซาด้า ประธานสมาคมบรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนชาวอเมริกัน ชี้ว่า พ่อแม่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีเรื่องการอ่าน เป็นสิ่งสำคัญมาก การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกๆ ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ แต่ยังช่วยสร้างความฉลาดทางอารมณ์ให้กับลูก รวมถึงความสามารถในการเห็นอกเห็นใจและการเชื่อมต่อกับผู้อื่น

ประธานสมาคมบรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนชาวอเมริกัน แนะนำว่า พ่อแม่ที่ไม่ชอบการอ่านหนังสือให้ลูกๆ ฟัง ควรเริ่มต้นช้าๆ จากการกำหนดเวลานั่งอ่านหนังสือให้ลูกฟังที่ 20 นาที หรือเริ่มจากการอ่านหนังสือจาก 5 หน้าให้ลูกเล็กฟัง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำบรรยายว่า “วัวร้องมูๆ หมูร้องอี๊ดๆ” โดยให้เริ่มต้นจากจุดนั้น

ขณะที่ ดาวน่า แนะนำว่า พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกคำให้ลูกฟัง แต่สามารถใช้การชวนคุยถึงภาพในหนังสือ หรือให้ลูกๆ เล่าเรื่องราวของเขาจากภาพที่เห็นด้วยคลังคำที่เด็กๆ มี เช่นเดียวกับสเปนเซอร์ที่เสนอว่า พ่อแม่ควรมีบทสนทนาที่ลูกๆ สนใจในระหว่างที่อ่านหนังสือให้พวกเขาฟังด้วย


ที่มา
‘It’s so boring’: Gen Z parents don’t like reading to their kids - and educators are worried