องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาเเก้โทษริบทรัพย์ นายวัฒนา จำเลยที่ 1,4,5,6,7,8 เเละ10 ร่วมชดชดใช้เงิน 89 ล้าน ในส่วนอาญาอุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนจำคุก 99 ปี คงจำคุกจริง 50 ปี และนำตัวไปเรือนจำต่อไป
วันที่ 4 มี.ค. 2565 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ หมายเลขดำ อม.อธ. 1/2565 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา และพวกรวม 14 ราย เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11
โดยคดีดังกล่าว ศาลฎีกาฯได้เคยอ่านคำพิพากษาคดีนี้ไปเมื่อ 24 ก.ย.2563 ที่ตัดสินจำคุกจำเลยในคดีดังกล่าว อาทิ นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพราะกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 รวมความผิด 11 กระทง กระทงละ 9 ปี รวม 99 ปี แต่คงจำคุกจริง 50 ปี ซึ่งศาลฎีกา ได้ตัดสิน และต่อมาศาลฎีกาให้ประกันตัววัฒนา โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 10 ล้านบาท
ต่อมานายวัฒนา ได้อุทธรณ์คดี ในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ของศาลฎีกาฯ และได้แถลงปิดคดีด้วยวาจายืนยันว่าสำนวนการสอบสวนคดีนี้ มีความผิดปกติหลายประเด็น และตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายอภิชาติที่แอบอ้างชื่อตัวเองไปเรียกรับผลประโยชน์กับบริษัทเอกชน อีกทั้งปปง.ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้วไม่พบความผิดปกติ ซึ่งศาลฎีกาฯ นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 4 มี.ค.นี้ ขณะที่นายอริสมันต์ หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาและศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว
ล่าสุดเวลาประมาณ 16.50 น. องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาเเก้โทษริบทรัพย์ นายวัฒนา จำเลยที่ 1,4,5,6,7,8 เเละ10 ร่วมชดชดใช้เงิน 89 ล้าน ในส่วนอาญาอุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนจำคุก 99 ปี คงจำคุกจริง 50 ปี และนำตัวไปเรือนจำต่อไป
คดีนี้เกิดขึ้นในยุคนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเริ่มตรวจสอบการกระทำผิดในช่วงของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก่อนเปลี่ยนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการสอบสวนต่อ กระทั่งปี 2560 ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนา พร้อมกับพวกอีก 14 คน กรณีทุจริตเรียกรับสินบนจากบริษัท พาสทิญ่า จำกัด ผู้รับเหมาโครงการบ้านเอื้ออาทร ผ่านบริษัทและลูกจ้างบริษัท เพรซิเด้นท์เทรดดิ้ง จำกัด จำนวน 82.6 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติในการเข้าเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ แต่ได้มีการจ่ายสินบนเพื่อให้สามารถเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้ โดยหลังจาก ป.ป.ช.ส่งสำนวนให้อัยการ ปรากฏว่า อัยการพบความไม่สมบูรณ์ในสำนวน จึงต้องตั้งคณะกรรมการร่วมทั้ง 2 ฝ่ายขึ้นมาพิจารณา สุดท้ายอัยการสูงสุดชี้ขาดสั่งฟ้องนายวัฒนากับพวกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทั้งนี้ก่อนการฟังคำพิพากษา นายวัฒนา เดินทางมาด้วยตัวเองพร้อมเปิดเผยว่า มายืนยันความบริสุทธิ์ตัวเองและตามหาความเป็นธรรม ที่ผ่านมาสู้คดีอย่างเต็มที่ โดยหลักการในการพิจารณาคดีอาญาเป็นหลักการพื้นฐานสากลที่สำคัญ ประการแรกองค์ประกอบของกฎหมายต้องครบ สองข้อเท็จจริงที่นำมาสู่การกล่าวหาต้องพิสูจน์ได้ และสามพยานหลักฐานที่นำมากล่าวหาต้องได้มาโดยชอบ ซึ่งคดีนี้ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดตั้งแต่แรกจนสุดท้าย
"จะสู้ทุกวิถีทางรวมถึงการถวายฎีกาในฐานะพสกนิกร นอนหลับปกติ วันนี้มั่นใจในการต่อสู้คดี แต่เตรียมใจไว้ 2 ด้าน และยอมรับคำพิพากษา หากไม่เป็นไปตามครรลองจะสู้คดีจนสุดทาง ถ้าเป็นโควิดเสียชีวิตก็ช่วยไม่ได้ และเชื่อมั่นว่าในคดีนี้เป็นเรื่องการเมืองล้านเปอร์เซ็นต์” นายวัฒนา กล่าว
สำหรับบรรยากาศการฟังคำพิพากษาที่ศาลฎีกาวันนี้ มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคเสรีรวมไทย มาร่วมติดตามฟังคำพิพากษาด้วย