Skip to main content

ชื่อของ ‘คิมซอนโฮ’ นักแสดงชื่อดังจากซีรีส์ ‘Hometown Cha-Cha-Cha’ ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อยู่หลายครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังอดีตแฟนสาวได้โพสต์แฉความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งเรื่องกล่าวหาพระเอกหนุ่มว่าบังคับให้เธอทำแท้งและหลอกว่าจะแต่งงานด้วย จนกลายเป็นข่าวใหญ่และส่งผลให้นักแสดงหนุ่มที่กำลังเป็นดาวรุ่งต้องถอนตัวออกจากงานแสดงหลายชิ้น ถูกระงับโฆษณาหลายตัว และยอดติดตามบนอินสตาแกรมลดฮวบในเวลาไม่กี่วันหลังมีข่าวฉาว ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่เขาจะสามารถกลับมาได้รับการยอมรับเท่าจุดเดิมอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม หลัง ‘Dispatch’ สื่อบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ได้ออกมาเผยถึงข้อมูลอีกด้านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งไทม์ไลน์และข้อความสนทนาที่ขัดแย้งกับเรื่องราวจากฝั่งอดีตแฟนสาว ที่ Dispatch ระบุตัวว่าคือ ‘ชเวยองอา’ อดีตผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศที่ผันตัวเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ก็ดูเหมือนจะทำให้คดีพลิกมาในทางที่เป็นผลดีกับพระเอกหนุ่ม 

โดยล่าสุดผู้สร้างภาพยนตร์ ‘Sad Tropics’ ซึ่งจะเป็นผลงานจอเงินเรื่องแรกของคิมซอนโฮได้ออกมายืนยันแล้วว่านักแสดงหนุ่มวัย 35 ปี จะยังคงรับบทนำในหนังเรื่องนี้ต่อไปและจะเริ่มถ่ายทำกันในเดือนธ.ค. ถือเป็นโปรเจคภาพยนตร์เรื่องแรกที่ยืนยันให้บทนำกับเขาหลังเกิดข่าวฉาว 

นอกจากนี้แบรนด์สินค้าหลายชิ้นก็เริ่มกลับมาเผยแพร่โฆษณาของคิมซอนโฮ ส่วนยอดติดตามบนอินสตาแกรมของเขาก็กลับมาเพิ่มขึ้น นี่ทำให้สื่อบันเทิงหลายสำนักมองว่าเป็นสัญญาณชี้ว่านักแสดงหนุ่มกำลังสามารถกอบกู้ภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นได้อีกครั้ง ขณะเดียวกัน ก็มีมุมมองจากคนบางส่วนที่เชื่อว่าคิมซอนโฮได้ตกเป็นเหยื่อของการสกัดดาวรุ่งไม่ต่างจากที่นักแสดงเกาหลีใต้หลายคนเคยเผชิญ

แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะพลิกผันหรือไม่อย่างไร กรณีของคิมซอนโฮได้ทำให้ ‘Cancel Culture’ หรือ ‘วัฒนธรรมการคว่ำบาตร’ สุดเข้มข้นของเกาหลีใต้ที่ตัดตอนเส้นทางอาชีพของคนดังมาแล้วมากมายถูกพูดถึงอีกครั้ง โดยถึงแม้ปรากฏการณ์เลิกสนับสนุนคนมีชื่อเสียงจากพฤติกรรมของบุคคลเหล่านั้นทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสม เสื่อมเสีย หรือสร้างความผิดหวังจะเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วโลก เช่น ในสหรัฐฯ นักแสดงอาจถูกคว่ำบาตรจากคำพูดจาเสียมารยาท หรือในจีนที่ดาราอาจถูก ‘แคนเซิล’ เพราะไม่แสดงจุดยืนชาตินิยมมากพอ แต่เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ The Straits Times อ้างอิงผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่บอกว่า ในเกาหลีใต้ Cancel Culture มีความรุนแรงเป็นพิเศษจากอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในระดับสูงและแนวโน้มที่คนตัดสินสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่คนบันเทิงเกาหลีใต้ต้องเผชิญจากข้อกล่าวหาประพฤติไม่เหมาะสมแตกต่างอย่างมากจากที่คนดังฮอลลีวูดเผชิญ โดย ‘จุง ดอก ฮยอน’ นักวิจารณ์และคอลัมน์นิสต์ด้านวัฒนธรรมป็อบระบุว่า นักแสดงเกาหลีใต้มักต้องแสดงภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบไม่ด่างพร้อย ดังนั้นเมื่อมีข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดใดๆ ถูกเผยออกมา เช่น การถูกกล่าวหาเรื่องพฤติกรรมบูลลี พฤติกรรมไม่เหมาะสมทางเพศ หรือในกรณีของคิมซอนโฮคือข้อกล่าวหาบังคับให้อดีตแฟนสาวต้องทำแท้ง จึงสามารถกลายเป็นประเด็นสำคัญทำให้แฟนๆ จำนวนมากถอนการสนับสนุน กระแสต้านเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อผู้ชมรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง

ขณะที่ ‘จอห์น ลี’ นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเพลงป็อปและวัฒนธรรมเกาหลีใต้ได้เผยกับ The Straits Times ว่าเค-ป็อบและละครเกาหลีใต้ “แบกรับภาระอันไม่ธรรมดาต่อความปรารถนาของผู้คนที่โหยหาอุดมคติ” เอเจนซีต่างๆ ในวงการบันเทิงจึงพยายามตอบสนองความต้องการนี้ด้วยการเปิดตัวดาวดวงใหม่ที่มีภาพลักษณ์ “ใสสะอาด” เหมือนๆ กัน 

อย่างไรก็ตาม เมื่อนักร้องนักแสดงเหล่านี้พัวพันกับข่าวฉาว แบรนด์สินค้าโฆษณาจะถอยห่างจากพวกเข้าด้วยความเชื่อว่าเซเลบริตี้ที่มีภาพลักษณ์มัวหมองจะสร้างความแปดเปื้อนให้กับแบรนด์สินค้าด้วย และสิ่งที่ทำให้วัฒนธรรมการคว่ำบาตรในเกาหลีใต้มีความรุนแรงเป็นพิเศษก็คือการเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลที่เกือบทุกคนจ้องจอสมาร์ตโฟนอยู่ตลอดเวลา โดยลีบอกว่า Cancel Culture เป็นรูปแบบพฤติกรรมหมู่ซึ่งการเข้าถึงสมาร์ตโฟนได้ทุกหนแห่งเป็นส่วนสำคัญที่เอื้อให้วัฒนธรรมคว่ำบาตรในเกาหลีใต้ยิ่งรุนแรง

ทั้งนี้ สื่อบันเทิงเกาหลีใต้บางแห่งมองว่าคิมซอนโฮน่าจะเป็นหนึ่งในคนดังจำนวนไม่มากที่โชคดี รอดตายจาก Cancel Culture สุดเข้มข้นมาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมองจากสัญญาณบวกในตอนนี้ว่ามีผู้สร้างภาพยนตร์ยืนยันต้องการทำงานร่วมกับเขาต่อไป โฆษณาเริ่มทยอยกลับมาออนแอร์ และยังมีชื่อติดโผผลสำรวจความนิยม หลังจากที่เขาได้ออกแถลงการณ์ขอโทษ และมีการเผยข้อมูลอีกด้านออกมาว่าการทำแท้งเป็นการตัดสินใจร่วมกันของทั้งสองฝ่าย 

อย่างไรก็ตาม ก็มีความเห็นที่น่าสนใจจากคนในแวดวงสื่อด้านวัฒนธรรมเกาหลีใต้บางส่วนที่เผยกับ The Straits Times ว่าในกรณีของคิมซอนโฮนั้นสะท้อนว่าปัญหาชีวิตส่วนตัวของเขาได้กลายเป็นปัญหาสังคมอย่างรวดเร็วในชั่วข้ามคืนจากการเผยแพร่ข่าวและทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างรุนแรงโดยไม่ยั้งก่อนความจริงเปิดเผย โดย ‘ลี ฮเยจิน’ ผู้ตีพิมพ์นิตยสารด้านความงามและบันเทิงฉบับหนึ่งในเกาหลีใต้ระบุว่า ที่ผ่านมามีคนดังหลายคนที่ถูกประณามจากข้อถกเถียงเรื่องชีวิตส่วนตัว และหลายคนก็ตัดสินใจเด็ดขาดหันหลังให้วงการเนื่องจากไม่สามารถทนกับการวิจารณ์รุนแรงได้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ผู้ชมหรือผู้ติดตามจะเรียกร้องระดับทางระดับจริยธรรมที่สูงจากบรรดาเซเลบริตี้ซึ่งทำงานให้ความบันเทิงสาธารณชน แต่ก็ไม่เห็นด้วยต่อการประณามเหล่าคนดังหากพวกเขาไม่ได้ละเมิดกฎหมาย

 

อ้างอิง

https://www.forbes.com/sites/joanmacdonald/2021/11/01/despite-controversy-kim-seon-ho-will-star-in-the-film-sad-tropics/?sh=252e41d7ad85 

https://www.kdramastars.com/articles/122558/20211101/kim-seon-ho-regained-good-boy-image-amid-korean-cancel-culture.htm?fbclid=IwAR3ffYNJkp-bslP1SRwj1iPH4QYsA2Y3geFz8pbvit5B4Cz3QI_tJk0Rjxk

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/south-koreas-toxic-cancel-culture-needs-to-change-experts?fbclid=IwAR3hD5SjuL0ZhPQRC_ZBaaI_Wk7Msy3dN6GMGHX83VCg-04fIH7Nf_vuiVw