- ภาคีฯ จัดอบรมพระเมียนมา ให้ความรู้เรื่องการป้องกันโควิด-19 เพื่อให้พระเมียนมาได้ไปให้ความรู้กับแรงงานข้ามชาติป้องกันตัวเอง
- สสส. หวังช่วยลดการตีตราและเลือกปฏิบัติ ที่เกิดมากขึ้นในช่วงการระบาดของโควิดระลอกใหม่
- สถานการณ์ของแรงงานข้ามชาติในช่วงโควิด-19 ปัญหาสำคัญคือการขาดรายได้ ขาดหลักประกันสุขภาพ แรงงานถูกกฎหมายก็กำลังเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบเพราะขาดการต่อวีซ่า
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (ThaiPBS) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) และกรุงเทพมหานคร เห็นควรว่า 'เมียนมาดูแลเมียนมา' คือ หัวใจสำคัญของปฏิบัติการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ 'แรงงานข้ามชาติ' ที่องค์กรศาสนา หน่วยงานด้านสุขภาพ สังคม และสื่อสาร ได้สานพลังความร่วมมือทุกภาคส่วนดำเนินการภายใต้แผนงาน 'รวมพลังพลเมืองตื่นรู้ ช่วยชาติสู้ภัยโควิด-19 ระลอกใหม่' เพื่อส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค และการดูแลคุณภาพชีวิตกลุ่มแรงงานข้ามชาติในพื้นที่เสี่ยง
และจัดอบรม ภาคียุทธศาสตร์ด้านสังคมและสุขภาพต่างเห็นพ้องร่วมกันว่า หลักการทำงานคือต้องดึงให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบป้องกันควบคุมโรคให้ได้นำมาสู่การ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาพระนิสิตจิตอาสาเพื่อสร้างเสริมและฟื้นฟูสุขภาวะแก่แรงงานต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ระลอกใหม่สำหรับแรงงานข้ามชาติ ในแง่หนึ่งคือผู้มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ ในอีกแง่หนึ่งถือเป็นกำลังสำคัญต่อการ 'ควบคุมโรค' โดยเฉพาะในสถานการณ์เฉพาะหน้าที่โรคกำลังระบาดอยู่นั้น
โดยสาเหตุที่เลือก 'พระนิสิตเมียนมา' มาเป็นตัวกลางสร้างภูมิคุ้มกันให้กับแรงงานข้ามชาติ เนื่องจากชาวเมียนมามีความศรัทธาอย่างแรงกล้าในพุทธศาสนา และพร้อมเปิดใจรับฟังพระในฐานะศูนย์รวมจิตใจ พระเทพวัชรบัณฑิต, ศ.ดร.อธิการบดี มจร. ฉายภาพในการจัดอบรมว่า ความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างไม่หวั่นไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนบ้านที่อาจเรียกได้เป็น Buddhist Nationality จะเป็นจุดเปลี่ยนของการควบคุมและป้องกันโรค
ในส่วนของพระนิสิตชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ข้อมูลจาก พระเทพเวที รศ.ดร.รักษาการแทนเจ้าคณะภาค 6 และรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มจร. ทำให้ทราบว่า มีมากถึง 1,300 รูป ในจำนวนนี้เป็นพระนิสิตชาวเมียนมา 560 รูป ส่วนใหญ่ศึกษาอยู่ที่ มจร. และที่ผ่านมาพระนิสิตเหล่านั้นได้มีการจัดตั้งเครือข่ายเพื่อให้ความช่วยเหลือชาวเมียนมาอยู่แล้ว
พระเทพเวที เชื่อว่า สิ่งสำคัญที่พระนิสิตสามารถช่วยได้คือ การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจของแรงงานข้ามชาติต่อนโยบายภาครัฐ ให้รับรู้ว่าไม่ได้มีเป้าหมายเฉพาะเพียงคนไทย แต่เป็นการดูแลทุกคนที่อยู่ภายในประเทศให้สามารถเข้าถึงการดูแลด้านสุขภาพถ้วนหน้า
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ อธิบายว่า บทบาทของพระนิสิตชาวเมียนมาในที่นี้ จะเป็นทั้งที่ปรึกษา (Counsellor) และผู้นำทางความคิด (Influencer) ให้กับแรงงานชาวเมียนมา อันจะเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญในการเฝ้าระวัง ช่วยเหลือ และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
ด้าน ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. ระบุว่า สสส. ให้ความสำคัญกับการลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นมากกับชาวเมียนมาในช่วงโควิด-19 ระลอกใหม่ เช่นเดียวกับปัญหาข้อจำกัดเรื่องการสื่อสารระหว่างบุคลากรชาวไทยและแรงงานชาวเมียนมา โดยเฉพาะการทำความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องตามมาตรการสาธารณสุข
ภายใต้การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ ได้มีการให้ความรู้แก่พระนิสิตชาวเมียนมาในมุมมองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 โดย นพ.สุวิช ธรรมปาโล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เน้นย้ำหลักการสำคัญคือ D-M-H-T-T ซึ่งประกอบด้วย Distancing (รักษาระยะห่าง) Mask Wearing (ใส่หน้ากากอนามัย) Hand Washing (ล้างมือบ่อย) Testing (ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจหาเชื้อโควิด) และ Thai Chana (ใช้แอปฯ ไทยชนะ)
"คนที่ติดโรคนี้ประมาณ 40% จะแข็งแรง ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ ซึ่งลักษณะเด่นอย่างหนึ่งที่สังเกตได้คือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ดังนั้นหากใครที่มีอาการเช่นนี้เมื่อไรให้แยกตัวออกจากผู้อื่นทันที พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อตรวจสอบ และประสานงานกับเครือข่ายต่างๆ ในการดูแล" นพ.สุวิช ให้หลักการ
ด้านสถานการณ์ของแรงงานข้ามชาติในช่วงโควิด-19 อดิศร เกิดมงคล ผู้แทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ให้ข้อมูลว่า ปัญหาสำคัญขณะนี้คือการขาดรายได้ ขาดหลักประกันสุขภาพ ขณะที่แรงงานถูกกฎหมายก็กำลังเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบ จากปัญหาการต่อวีซ่า ต่ออายุหนังสือเดินทาง และยังไม่นับรวมผลกระทบอื่นๆ อย่างความเครียด หรือปัญหาทางสุขภาพจิตที่ตามมา
ทั้งนี้ หนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ควรถ่ายทอดสู่แรงงานชาวเมียนมา คือระยะเวลาขยายการต่ออายุของกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มบัตรสีชมพู กลุ่ม MoU ตลอดจนกลุ่มที่สิ้นสุดการอยู่ หรือหลบหนีเข้าเมือง เพื่อให้สามารถจัดการได้อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันยังสามารถใช้กลไกเครือข่ายชุมชนเดิม ไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครแรงงานต่างด้าว (อสต.) อาสาประจำหอพัก เข้ามาช่วยหนุนเสริมซึ่งกันและกัน
อำนาจ สังข์ศรีแก้ว นักวิชาการแรงงานชำนาญการพิเศษ สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการห้ามออกนอกประเทศ ประเทศไทยจึงใช้มาตรการพิเศษผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อบริหารให้แรงงานข้ามชาติที่ขณะนี้มีอยู่กว่า 2.5 ล้านคน ให้สามารถอยู่ต่อและทำงานได้
"หลังการแพร่ระบาดรุนแรงระลอกใหม่ที่ตลาดกุ้ง ทำให้รัฐบาลเห็นว่ามีแรงงานข้ามชาติตกหล่นอยู่พอสมควร ราว 6 แสนราย โดยเป็นชาวเมียนมาประมาณ 3.8 แสนราย จึงออกมติเพื่อให้คนกลุ่มนี้ออกมาจดทะเบียน และให้ความสำคัญในการจัดเก็บคนกลุ่มนี้เข้ามาอยู่ในฐานข้อมูล" อำนาจ ระบุ