‘มิเชล บาเชเลต์’ ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเตือนว่า เมียนมากำลังเผชิญความเสี่ยงที่สงครามกลางเมืองทวีความรุนแรงขึ้นในขณะที่การต่อต้านรัฐบาลทหารขยายตัว พร้อมเรียกร้องนานาชาติโดยเฉพาะอาเซียนช่วยเหลือฟื้นฟูประชาธิปไตยก่อนสายไป
บาเชเลต์ กล่าวต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ชี้ว่าใกล้จะหมดเวลาแล้วที่ประเทศต่างๆ จะเพิ่มความพยายามในการฟื้นฟูประชาธิปไตยและป้องกันความขัดแย้งขยายตัวในเมียนมา สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมาเลวร้ายลงอย่างมีนัยสำคัญจากผลกระทบของการรัฐประหารที่ทำลายชีวิตและความหวังของคนทั่วประเทศ โดยความขัดแย้ง ความยากจน และผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโควิดเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมียนมาเผชิญกับความปั่นป่วนของการปราบปราม ความรุนแรงและความล่มสลายทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน บาเชเลต์ก็ระบุว่าการกดทับสิทธิพื้นฐานที่เกิดขึ้นอย่างท่วมท้นทำให้เกิดการขยายตัวของขบวนการต่อต้านที่ติดอาวุธ ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนความเป็นไปได้ของสงครามกลางเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกร้องประเทศต่างๆ ให้สนับสนุนกระบวนการทางการเมืองที่เปิดให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม โดยเรียกร้องไปยังอาเซียนและมหาอำนาจว่าควรใช้ทั้งแนวทางกระตุ้นและไม่จูงใจเพื่อเพิกถอนการรัฐประหารของกองทัพและความรุนแรง ประชาคมนานาชาติควรเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการฟื้นฟูประชาธิปไตยและป้องกันความขัดแย้งขยายวงกว้างก่อนที่จะสายไป
ทั้งนี้ บาเชเลต์ระบุว่านับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร มีประชาชนในเมียนมากว่า 1,100 คน ที่ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคง และอีกกว่า 8,000 คน ที่รวมถึงเยาวชนได้ถูกจับกุม และยังมีผู้ถูกคุมขังอยู่กว่า 4,700 คน โดยข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกร้องทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกองทัพ เปิดทางให้มีการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยไม่มีข้อจำกัด และเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองโดยทันที นอกจากนี้ กองกำลังติดอาวุธทั้งหมดต้องปกป้องพลเรือน ส่วนโจมตีทางอากาศและปฏิบัติการใช้ปืนใหญ่ในเขตที่อยู่อาศัยต้องยุติทันที
อ้างอิง