Skip to main content

จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย นำไปสู่การยกระดับมาตรการควบคุมทั่วประเทศในวันที่ 20 ก.ค. และเป็นวันที่พบผู้เสียชีวิตหลายรายจากโรคโควิด หรือต้องสงสัยว่าเกี่ยวพันโควิด โดยมีทั้งผู้เสียชีวิตในที่พัก และผู้เสียชีวิตจากโควิดกลางถนนในย่านชุมชน แต่ผู้คนรอบข้างไม่อาจดำเนินการใดๆ ได้ เพราะต้องรอเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ

ด้วยเหตุนี้ ผู้เสียชีวิตหลายรายจึงถูกปล่อยไว้ในที่เกิดเหตุนานหลายชั่วโมง ส่งผลให้ 'กลุ่มเส้นด้าย' ซึ่งเป็นกลุ่มอาสาช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด สะท้อนด้วยความหนักใจว่า "ผู้คนล้มตายรายทางเหมือนใบไม้ร่วง" ส่วนเจ้าหน้าที่เผย "กำลังคนและรถที่ใช้เคลื่อนย้ายศพที่สุ่มเสี่ยงมีไม่เพียงพอ"

หวังรัฐวางระบบจัดการที่ดี - เจ้าหน้าที่จะได้ไม่ท้อ ประชาชนไม่ต้องเสี่ยงร่วมแก้ปัญหา

เพจ "เส้นด้าย" กลุ่มจิตอาสา โพสต์ช่วงคืนที่ผ่านมา "ไม่ใช่วันที่ดีสำหรับพวกเราชาว #เส้นด้าย เลย นอกจาก ข่าวการสูญเสียจากเคสผู้ป่วยที่เราส่งเข้าโรงพยาบาลได้มาถึงหลายเคสเหลือเกิน ระหว่างการทำงาน เรายังเจอศพผู้เสียชีวิตล้มตายมากกว่า​ 5 ศพในเวลาไล่เลี่ยกัน ผู้คนล้มตายรายทางเหมือนใบไม้ร่วง และเมื่อเราไปถึง ที่เดิมบ้านเดิม ซอยเจริญกรุง107แยก9 ซึ่งเราเคยมาพาเคสส่งตรวจ เนื่องจากผลตรวจเดิมเป็นแบบแอนติเจน ซึ่ง​ต้องใช้ RT-PCR ในการยืนยันผล สมาชิกในบ้านที่รอการรักษามากกว่า​ 5 วัน จาก 5 ท่าน ได้เสียชีวิต​ภายในบ้าน 2 ท่าน และยังไม่มีใครได้เข้ารับการรักษา"

"หนึ่ง​ในผู้เสียชีวิต อายุ​เพียง 25 ปี เราเป็นจิตอาสาที่รวมตัวกันทำในสิ่งที่เราควรทำ เพื่อหวังจะลดความสูญเสีย เพื่อเพิ่มความหวังให้กับสังคมที่ค่อยๆ หม่นขึ้นทุกที โดยหวังว่ารัฐจะวางระบบการจัดการที่ดีมากพอ จนบุคลากรด่านหน้าไม่ต้องท้อ ประชาชนไม่ต้องมาร่วมกันแก้ปัญหา หรือมันเป็นได้แค่ความหวังที่จะไม่เกิดขึ้นจริง? #เส้นด้าย #ได้ที่ไม่ใช้เส้น"

จากนั้น ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร ไปถึงที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ มีความสูง 2 ชั้น ปลูกติดกันหลายหลัง เมื่อตรวจสอบแล้วพบผู้เสียชีวิต เป็นชาย 1 ราย ทราบจากชาวบ้านว่าผู้เสียชีวิตเป็นผู้ป่วยโควิด และภายในบ้านยังมีผู้พักอาศัยอยู่ด้านในอีกประมาณ 3 คน หนึ่งในนั้นมีผู้สูงอายุซึ่งเป็นแม่ของผู้ตายรวมอยู่ ทุกคนอยู่ในอาการโศกเศร้าและเสียใจกันเป็นอย่างมาก ต่างนั่งกอดกันร้องไห้กันระงม ซึ่งเป็นภาพที่สลดและหดหู่กับบรรดาอาสาสมัครที่ไปร่วมกันเก็บร่างผู้เสียชีวิต 

ทราบต่อมาภายหลังว่า บ้านหลังนี้เดิมทีอยู่กัน 6 คน อยู่โรงพยาบาล 1 คน เมื่อประมาณวันที่ 16 ก.ค2564 ได้สูญเสียผู้เป็นน้าสาวไปจากโรคโควิด19 เป็นรายแรก และวันที่ 20 ก.ค.2564 ก็สูญเสียคนในบ้านไปอีก 1 คนซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อโควิดเช่นกัน และบ้านหลังนี้มีผู้ติดเชื้อโควิดมาสักพักแล้ว และจะเก็บตัวกันอยู่ภายในบ้านโดยไม่ได้ออกไปไหนเลย 

สอบถามจากเพื่อนบ้าน เล่าว่า "ชาวบ้านแถวนี้หวาดกลัวกันหมด เพราะว่าในบ้านติดกันหลายคน คนที่ตายไปคนแรกเมื่อ 2-3 วัน เป็นน้า ส่วนวันนี้คนที่ตายเป็นคนที่ 2 เป็นหลานของคนที่ตายคนแรก และยังเหลืออีก 3 คนที่ยังอยู่ในบ้านหลังนี้ ฝากหน่วยงานเข้ามารับไปรักษาด้วย อย่าให้ตัองมีการตายเพิ่มขึ้นอีกเลย แค่นี้ก็หดหู่พอแล้ว ที่เห็นคนในบ้านต้องมาตายต่อหน้าต่อตา"

ส่วนเพื่อนบ้านต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องแบบนี้ไม่น่าให้เกิดขึ้นได้ มีศพแรกแล้ว ทำไมต้องให้มีศพที่ 2 ที่ต้องมาตายในบ้านด้วยโควิด19

"อยากให้หมอมาให้คำแนะนำหรืออธิบายการใช้ยา หรือการรักษาตัวเองที่บ้าน ไม่ใช่มาส่งยาหน้าบ้านแล้วกลับไป อยู่บ้านกัน เห็นแต่มาส่งอาหาร ส่งยา แต่ไม่มีการพูดคุยอะไรกันเลย เหมือนส่งๆ ไป ส่งแล้วก็กินๆ ไป ประมาณเนี่ย รู้สึกสงสารว่า อายุเท่านี่้ไม่น่าจะมาจบชีวิตแบบนี้ เมื่อก่อน เจอหน้ากันทักทายพูดคุยกัน พอรู้ว่าติดเชื้อ เค้าก็ปิดบ้าน ปิดตัวเองไป ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแล้วเรื่องแบบนี้"

เบื้องต้นอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูนำร่างผู้เสียชีวิตแพ็กใส่ถุงบรรจุศพอย่างมิดชิดเป็นอย่างดีแล้วนำใส่โลงศพ ไปฌาปนกิจที่วัดเป็นการเร่งด่วนต่อไป แล้วสิ่งที่ชาวบ้านแถวนี้ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันคืออยากจะให้หน่วยงานภาครัฐช่วยเร่งหามาตรการช่วยเหลือผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสโควิด19 ให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้

ชายติดโควิด-19 เสียชีวิตบ่าย จนท.เก็บศพช่วงค่ำ

วันเดียวกัน พ.ต.ท.มนเดช มาแนม สว.(สอบสวน)​ สน.ชนะสงคราม ระบุว่าได้รับแจ้งเหตุพบศพบนถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กทม. เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 20 ก.ค. จึงรุดเข้าตรวจสอบ ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณตรอกบ้านพานถม ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร พบศพชายไทย 1 ราย อายุประมาณ 40-50 ปี ไม่ทราบชื่อ ไม่มีเอกสารติดตัว สวมเสื้อยืดสีม่วง นุ่งกางเกงขายาวสีดำ รองเท้าแตะสีดำ สภาพนอนหงาย ไม่มีบาดแผลจาการถูกทำร้ายแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงคลุมผ้าและใช้กรวยยางกั้นพื้นที่ไว้

จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า เวลา 10.00 น.ของ วันที่ 20 ก.ค. ผู้ตายเดินออกมาจากย่านชุมชน เมื่อมาถึงบริเวณดังกล่าวล้มลง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ทราบว่าผู้ตายเป็นคนไร้บ้าน และติดเชื้อโควิด-19 จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้เข้าช่วยเหลือ จนถึงเวลาประมาณ 14.00 น. มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยใส่ชุดป้องกันมาช่วยให้ออกซิเจน จนเวลาประมาณ 16.00 น. ชายดังกล่าวเสียชีวิต จากนั้น ชาวบ้านได้แจ้งไปยังหลายหน่วยงาน แต่ก็ไม่มีหน่วยงานใดมาทำการเก็บศพ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานหลายชั่วโมง

จนถึงเวลา 22.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจเข้าเก็บศพ เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 จึงต้องใช้ความระมัดระวัง ส่วนสาเหตุที่ใช้เวลานาน เนื่องจาก "กำลังเจ้าหน้าที่และรถที่จะใช้เคลื่อนย้ายศพที่สุ่มเสี่ยงมีไม่เพียงพอ"

พบชายเสียชีวิตบนทางเท้าบริเวณถนนราชดำเนินกลาง

เวลา 22.40 น. วันที่ 20 ก.ค. เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้สวมชุดพีพีอีเข้าดำเนินการเก็บศพชายเสียชีวิตอีก 1 ราย ในท้องที่ สน.ชนะสงคราม ซึ่งเสียชีวิตอยู่บริเวณหน้าร้านศึกษาภัณฑ์ ถนนราชดำเนินกลาง เขตพระนคร กทม. จากการตรวจสอบพบเอกสารติดตัวเป็นบัตรประชาชน 1 ใบ ระบุเป็นชาว จ.ระยอง

จากการสอบถามชาวบ้านใกล้เคียงทราบว่า ร่างของผู้เสียชีวิตอยู่บริเวณดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงเวลา 18.00 น.แล้ว จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ เบื้องต้นยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ตายติดเชื้อโควิดหรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่จึงรีบนำศพส่งชันสูตรที่ รพ.วชิรพยาบาล เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป

ชายไร้บ้านเสียชีวิตริมทางเท้า พระราม 4 ฉีดพ่นยาป้องเสี่ยงโควิด

ผู้เสียชีวิตอีก 1 คน อยู่ที่ทางเท้าริมถนนหทัยราษฎร์ หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านคลองเตย เป็นชายไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 30 ปี มีผู้พบเห็นว่าชายคนดังกล่าวเดินมาใกล้จุดเกิดเหตุก่อนที่จะล้มลงหมดสติและเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยยังสวมหน้ากากอนามัยเอาไว้ ทำให้ประชาชนในจุดดังกล่าวเกรงว่าจะเป็นผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสนทองหล่อและกู้ชีพร่วมกตัญญูมาตรวจสอบในที่เกิดเหตุ 

เบื้องต้นแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เข้ามาตรวจสอบด้วยการสว็อบโพรงจมูกและคอของศพ ชุดทดสอบแจ้งผลว่าไม่มีเชื้อโควิด แต่เจ้าหน้าที่เกรงว่าชายคนดังกล่าวเป็นกลุ่มเสี่ยงเนื่องจากเป็นผู้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อีกทั้งยังไม่ได้ระมัดระวังป้องกันตัวจากการแพร่ระบาด จึงให้เจ้าหน้าที่ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและรอรถเก็บศพของผู้ติดเชื้อโควิดมาดำเนินการเพื่อป้องกันความเสี่ยงกับเจ้าหน้าที่ทุกคน