เจ้าหญิงกาตารีนา-อามาลียา รัชทายาทลำดับที่ 1 ราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซาแห่งประเทศเธอร์แลนด์ ทรงสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2564 หลังจากนั้น พระองค์ได้ทรงเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงมาร์ก รึตเตอ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ เพื่อปฏิเสธเงินสนับสนุนราชวงศ์ราว 1.6 ล้านยูโร (ประมาณ 59.2 ล้านบาท) ซึ่งพระองค์ทรงมีสิทธิได้รับตามกฎหมาย ทันทีที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุครบ 18 ชันษาในเดือน ธ.ค.ปีนี้
จดหมายลายพระหัตถ์ของเจ้าหญิงอามาลียา ถูกนำไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ NOS สื่อของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ โดยรายงานว่า นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สมาชิกระดับสูงของราชวงศ์ทรงไม่ขอรับเงินสนับสนุนรายปีจากรัฐบาล
ส่วนเนื้อหาในจดหมายเจ้าหญิงอามาลียา ทรงระบุว่า พระองคไม่สบายพระทัยที่ต้องรับเงินสนับสนุนจากรัฐ โดยที่ยังไม่สามารถทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนได้ในขณะนี้ ทั้งยังมีเด็กนักเรียนเป็นจำนวนมากที่อยู่ในภาวะยากลำบากเพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 นอกจากนี้ พระองค์ตั้งพระทัยว่าจะใช้เวลา 1 ปีเพื่อไปสำรวจโลก ก่อนจะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา
จดหมายสะท้อนวิธีคิดราชวงศ์ยุคใหม่
ข้อมูลอื่นๆ ที่ปรากฏในเว็บไซต์ NOS ระบุว่า เงินสนับสนุนราชวงศ์รายปีที่เจ้าหญิงอามาลียาจะได้รับโดยอัตโนมัติเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุครบ 18 ชันษา แบ่งเป็นรายได้ส่วนพระองค์ 300,000 ยูโร (ประมาณ 11 ล้านบาท) และอีก 1.3 ล้านยูโรจะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเสด็จไปเข้าร่วมในพระราชพิธีหรือปฎิบัติพระกรณียกิจต่างๆ ในราชวงศ์ โดยเจ้าหญิงอามาลียาทรงระบุว่าจะไม่ขอรับเงินดังกล่าวจนกว่าพระองค์จะเรียนจบระดับอุดมศึกษา และเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าหญิงรัชทายาท
ด้าน 'มาร์ก รึตเตอ' นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ นำจดหมายดังกล่าวไปแสดงต่อที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากการอภิปรายเรื่องงบประมาณสนับสนุนราชวงศ์เป็นประเด็นที่ต้องพูดคุยกันทุกปี และเมื่อปีที่แล้วก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสภาว่างบประมาณสนับสนุนราชวงศ์จะเพิ่มสูงขึ้นเพราะปีนี้จะเป็นปีที่เจ้าหญิงอามาลียาทรงมีพระชนมายุครบ 18 ชันษา
การตัดสินพระทัยของเจ้าหญิงอามาลียาถูกวิเคราะห์ผ่านสื่อว่าเป็นภาพสะท้อนของวิธีคิดที่เปลี่ยนไปในหมู่สมาชิกราชวงศ์ยุคเดิม เพราะก่อนหน้านี้ราชวงศ์อังกฤษก็เคยเป็นประเด็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกหลังเกิดความเปลี่ยนแปลงในราชวงศ์เพราะเจ้าชายแฮร์รี่และพระชายา 'เมแกน มาร์เคิล' ที่สละยศชั้นเจ้าฟ้า และออกมาให้สัมภาษณ์สื่ออเมริกันพาดพิงราชวงศ์วินด์เซอร์แห่งอังกฤษ
สถาบันกษัตริย์ VS คนรุ่นใหม่ ช่วงวัย 18-30 ปี
ขณะเดียวกัน สำนักข่าว Reuters รายงานว่าประชาชนอังกฤษในช่วงอายุ 18-24 ปี ตอบแบบสอบถาม yougov ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่าผู้สนับสนุนให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 26% ของผลสำรวจเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เป็น 41% จากการสำรวจล่าสุด ซึ่งจัดทำหลังจากเจ้าชายฟิลิป พระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สิ้นพระชนม์เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และสมเด็จพระราชินีฯ ทรงมีพระชนมายุ 95 พรรษา
เช่นเดียวกับผลสำรวจความเห็นประชาชนนิวซีแลนด์ ซึ่ง NewsHub รายงานว่า คนวัยเกิน 60 ปีเกินครึ่งยังคงสนับสนุนให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเป็นประมุขแห่งนิวซีแลนด์ต่อไป ในฐานะสมาชิกเครือจักรภพอังกฤษ แต่คนรุ่นใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 18-30 ปี คิดเป็น 59% ของสนับสนุนให้นิวซีแลนด์ปกครองในระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยอย่างเป็นทางการในอนาคต
ส่วนความเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้มีการปฎิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยถูกรายงานผ่านสื่อต่างประเทศจำนวนมากในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา แต่องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลหลายแห่งระบุว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เยาวชนและประชาชนถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเพิ่มขึ้นด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมถึงกฎหมายด้านความมั่นคงอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะกระทบต่อสิทธิในการแสดงออกและการใช้สิทธิชุมนุมทางการเมืองของประชาชน