Skip to main content

พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีการหลอกผู้เสียหายลงทุน 5 ธุรกิจ ที่คาดว่ามีความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท หลังจับกุม ประสิทธิ์ เจียวก๊ก และผู้ร่วมกระทำผิดรวม 6 คน ว่า พนักงานสอบสวนยังอยู่ระหว่างการเร่งสอบสวนปากคำผู้เสียหาย เพื่อนำไปสรุปพฤติการณ์ในคดี และความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งยืนยันว่าหลังมีการรับแจ้งความ ฝ่ายสืบสวนติดตามสืบทรัพย์ผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการข่าวพบว่ามีการยักย้ายถ่ายเทไปตั้งแต่ช่วงที่เริ่มมีข่าวผู้เสียหายเข้าแจ้งความระยะแรกๆ ทำให้ทรัพย์ที่เหลืออยู่ในบัญชีมีไม่มาก ส่วนเรื่องโฉนดที่ดิน ยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบทรัพย์สินต่าง ๆ

ส่วนกรณีวานนี้ (19 พ.ค.) รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นำผู้เสียหาย เข้าร้องทุกข์กับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นการขอให้เร่งรัดคดี และติดตามอายัดทรัพย์ผู้ต้องหามาเฉลี่ยคืนผู้เสียหาย ซึ่งยืนยันว่ากำลังดำเนินการอยู่ โดนขณะนี้ยังต้องเน้นไปที่การสอบสวนผู้เสียหาย เพื่อดูว่าพฤติการณ์กระทำผิดจะเข้าข่ายเป็นความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่ ส่วนเรื่องที่ตั้งข้อสังเกตว่าคดีนี้น่าจะเข้าข่ายเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ เรื่องนี้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. กำลังรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินการตรวจสอบอยู่ หากพบว่าหลักฐานเข้าข่ายความผิดใด พร้อมจะดำเนินคดีทันที

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ต้องหาที่คาดว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ พนักงานสอบสวนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาหลักฐานความเชื่อมโยง โดยเฉพาะผู้ให้การช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น ผู้ที่ช่วยยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สิน หรือช่วยในการกระทำผิด หากพบว่ามีพยานหลักฐานชัดเจนก็จะดำเนินคดีทุกราย 
 
ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความไว้มูลค่าความเสียหายพันกว่าล้าน ถ้ามีผู้เสียหายมาแจ้งเพิ่มพนักงานสอบสวนก็พร้อม เรื่องการดำเนินคดีขอยืนยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ไม่ได้มีใครเป็นพิเศษ ใครที่เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมยินดีรับฟังทุกคน แต่ถ้าใครผิดก็ต้องดำเนินคดีปล่อยไม่ได้ ขณะนี้ได้สั่งการให้กองบังคับการปราบดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องมีการประสานไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินต่างๆ 
        
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ในคดีนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันแพร่หลายในโลกโซเชียล ต้องยอมรับว่ามีโลกที่วิ่งควบคู่กับโลกความเป็นจริงคือ โลกโซเชียล มีการสืบสวนตัดสินกันในโลกโซเชียล บางทีข้างล่างยังไม่ได้ไปไหนโซเชียลตัดสินแล้ว โลกโซเชียลมีทั้งฝ่ายโจทย์และฝ่ายจำเลยก็ว่ากันไป เจ้าหน้าที่ยึดเอาหลักกฎกติกาความเห็นใครจะรักใครชอบใครไปห้ามกันไม่ได้ ถึงแม้จะมีกลุ่มผู้สนับสนุนออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะให้ความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจของนายประสิทธิ์นั้น เรื่องดังกล่าวไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจากเป็นความเห็นส่วนบุคคล ส่วนในทางกฎหมายตำรวจจะดำเนินการตามพยานหลักฐานเท่านั้น