Skip to main content

ธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงกรณี อัยการสูงสุดมีคำสั่งชี้ขาดสั่งฟ้อง คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา มีคำสั่งฟ้อง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช เป็นผู้ต้องหาที่ 1-3 กระทำความผิดข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ว่า ตามที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 1702/2563 ของ สน.พญาไท ซึ่งมี สุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพุทธอิสระ เป็นผู้กล่าวหา

เดิมคดีนี้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งทางคดีดังนี้สั่งไม่ฟ้องธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ต้องหาที่ 1, ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ต้องหาที่ 2, พรรณิการ์ วานิช ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 116 (3)แล้วจึงส่งสำนวนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145/ 1

ภายหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีความเห็นแย้งว่ายังไม่อาจเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 – 3 ในความผิดตามข้อกล่าวหา แล้วส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาชี้ขาด ความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 วรรคสอง

คดีนี้ อัยการสูงสุด ได้พิจารณาคดีดังกล่าวแล้วได้มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ต้องหาที่ 1, ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ต้องหาที่ 2 และพรรณิการ์ วานิช ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเบิดกฎหมายแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 2, 6, 34, 49 และ 50 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 116 (2), (3)

ธรัมพ์ กล่าวต่อว่า อัยการสูงสุดได้พิจารณาชี้ขาดความเห็นแย้ง โดยชี้ขาดให้ฟ้องคดีเพราะมองพฤติกรรมการกระทำต่างๆของผู้ถูกกล่าวหาแล้วเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 116 คือ แสดงความเห็นด้วยวาจา หนังสือให้ปรากฏในหมู่ประชาชน ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในราชอาณาจักรแล้วทำให้มีการล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ทั้งจากคำปราศรัย และการแสดงความคิดเห็นทางสื่อออนไลน์ต่างๆ แต่ไม่มีข้อหาความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เรื่องจากไม่มีการเเจ้งข้อหามาเเต่เเรก

อย่างไรก็ตามคดีนี้มีพิจารณามาตั้งแต่สมัยอัยการสูงสุดคนก่อนๆ แต่เพิ่งมีคำสั่งชี้ขาดในสมัย อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ขั้นตอนหลังจากนี้จะแจ้งคำสั่งชี้ขาดของอัยการสูงสุดไปยังพนักงานสอบสวนสน.พญาไทเพื่อตามตัวและนัดหมายนายธนาธร มารับทราบข้อกล่าวหาและยื่นฟ้องต่อศาลอาญาต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับมูลเหตุคดีนี้ สุวิทย์ ได้เเจ้งความช่วง ต.ค. 2563 พนักงานสอบสวน อ้างถึงกรณีธนาธร เคยอภิปรายเรื่องอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475 พูดถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทย 14 ตุลาฯ, 6 ตุลาฯ 2519 เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนก่อตั้งวารสารฟ้าเดียวกัน อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่างๆ รวมทั้งงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ และไปปรากฎตัวในที่ชุมนุม ในกรณีไปเอางานวิชาการสมัยเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ตีพิมพ์ในวารสารฟ้าเดียวกัน และหนังสือราชมัลลงทัณฑ์บัลลังก์ปฏิรูป และเอาความเห็นกรณีเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อไม่ให้เอาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมไปอยู่บนท้องถนน การชุมนุมจะได้คลี่คลายเบาบางลง โดยอ้างว่ากรณีนี้ทำให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาออกมาชุมนุม ส่วนกรณีของพรรณิการ์ บอกว่า ไปปรากฎตัวในการชุมนุม และไลฟ์สด

'ธนาธร' ยันพร้อมสู้คดี ม.116 ยันคดีนี้มีผู้มีอำนาจต้องการหยุดเรา

ด้าน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์กรณีอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีถือหุ้นสื่อว่า เรายืนยันความบริสุทธิ์ใจ พร้อมต่อสู้คดี ถือว่าอัยการได้มีคำตัดสินมาแล้ว ขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรม ส่วนที่อัยการสูงสุดชี้ขาดมีคำสั่งฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น ร่วมกับ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และพรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ยืนยันว่าคดีนี้ผู้มีอำนาจต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะหยุดยั้งเรา ก็พร้อมสู้ทุกคดี ตนเข้ามาทำงานการเมืองวันนี้ 4 ปีแล้ว ไม่เคยมีครั้งไหนจะคิดทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเลย

“คดีความต่างๆ ที่เล่นงานผมและพรรคพวก ไม่ว่าจะเป็นนายปิยบุตร หรือแกนนำพรรคอนาคตใหม่อื่นๆ เป็นแรงผลักดันทางการเมือง เพื่อต้องการหยุดยั้งเรา ขอย้ำว่าคดีต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจจริงของเราได้ เราจะทำงานเต็มที่ต่อไปเรื่อยๆ” ธนาธรกล่าว