สีจิ้นผิง เป็นประธานการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ครั้งที่ 20 ณ อาคารมหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน
บีบีซี รายงานว่า การประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 เมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวถึงนโยบายโควิดเป็นศูนย์ว่าที่ผ่านมานั้นเป็นสงครามของประชาชนทุกคนในการหยุดการแพร่ระบาดจของโควิด และจีนได้ปกป้องสุขภาพประชาชน และความมั่นคงได้มากเท่าที่เป็นไปได้
นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ยังกล่าวถึงประเด็นสถานการณ์ไต้หวัน ที่จีนอ้างเป็นดินแดนส่วนหนึ่งโดยคัดค้านการให้อิสรภาพแก่ไต้หวัน ว่า เราได้ดำเนินการอย่างมุ่งมั่นเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดน และคัดค้านการเป็นเอกราชของไต้หวัน รัฐบาลจีนจะไม่สัญญาว่าจะเลิกใช้กำลัง และการทำให้ประเทศกลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้งต้องเกิดขึ้นและจะเป็นจริง ที่ผ่านมาจีนใช้กำลังควบคุมฮ่องกงเปลี่ยนสถานการณ์จากความวุ่นวายจนสามารถปกครองได้
โดยหลังจากการชุมนุมประท้วงใหญ่ของฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกงเมื่อปี 2019 จีนได้ออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติเรื่องเขตแดนออกมา สี จิ้นผิง ยังกล่าวถึงประเด็นความแตกแยกภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยว่า ภายใต้การปกครองของเขา ได้ขจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ในพรรคออกไปแล้ว
ด้าน ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งประเทศจีน(CMG) บอกว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในยามที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และประชาชนชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งหลายเดินทางครั้งใหม่ เพื่อสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เป็นสังคมนิยมที่ทันสมัยอย่างรอบด้าน และมุ่งสู่เป้าหมายศตวรรษที่ 2
ซึ่งประเด็นของการประชุม คือ การชูธงสังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์ของจีน ปฏิบัติตามแนวคิดสังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์ของจีนแห่งยุคใหม่ ส่งเสริมเชิดชูจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของพรรคฯ มีความมั่นใจในตัวเอง และพัฒนาตัวเองให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เน้นความซื่อสัตย์ สร้างนวัตกรรม มีความกระตือรือร้น และก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ สามัคคีกันและต่อสู้เพื่อสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัยอย่างรอบด้าน และขับเคลื่อนการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งใหญ่ของประชาชนจีนอย่างรอบด้าน
ขณะที่ ซินหัว รายงานว่า สี จินผิ้ง กล่าวถึงนโยบายต่างประเทศว่า จีนยังคงยืนหยัดในการดำเนินนโยบายต่างประเทศแห่งสันติภาพที่เป็นอิสระ กำหนดจุดยืนและนโยบายในประเด็นต่างๆ โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริง ยึดมั่นบรรทัดฐานขั้นพื้นฐานที่กำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และปกป้องความเป็นธรรมและความยุติธรรมระหว่างประเทศ อีกทั้งยืนหยัดต่อต้านลัทธิอำนาจครอบงำและการเมืองแบบใช้อำนาจบังคับทุกรูปแบบ แนวคิดสงครามเย็น การแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆ และการกระทำสองมาตรฐาน โดยจีนจะไม่มีวันแสวงหาการใช้อำนาจครอบงำหรือมีส่วนร่วมในการขยายอำนาจเป็นอันขาด
ทั้งนี้ เป้าประสงค์หลักและพันธกิจหลักสำหรับระยะ 5 ปีข้างหน้า ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน คือ
- สร้างความก้าวหน้าในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีคุณภาพสูง บรรลุความสามารถที่พึ่งพาตัวเองและความแข็งแกร่งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียิ่งขึ้น สร้างความคืบหน้าสำคัญในการสร้างการพัฒนารูปแบบใหม่และเศรษฐกิจที่มีความทันสมัย
- สร้างความก้าวหน้าในใการปฏิรูป และเปิดกว้าง รวมถึงความคืบหน้าในการสร้างความทันสมัยของระบบและสมรรถภาพการบริหารปกครองของจีน ปรับปรุงเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยมให้ดียิ่งขึ้น จัดตั้งระบบใหม่ของเศรษฐกิจที่เปิดกว้างด้วยมาตรฐานสูงยิ่งขึ้น
- ขยับขยายสถาบัน มาตรฐาน และขั้นตอนของประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการทั้งหมด ปรับปรุงระบบของหลักนิติธรรมสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน
- ส่งเสริมวิถีชีวิตของประชาชนจีนที่ทรงปัญญาและมีวัฒนธรรม เพิ่มพูนความสามัคคีของชาติจีน และมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมจีน
- รับรองว่ารายได้ส่วนบุคคลจะเติบโตในขั้นพื้นฐานพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจ และค่าจ้างสูงขึ้นพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพ รับรองการเข้าถึงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมมากขึ้น พัฒนาระบบประกันสังคมหลายระดับที่ดียิ่งขึ้น
- ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตในเมืองและชนบทอย่างจริงจัง สร้างความคืบหน้าในการสร้างจีนที่สวยงาม
- เสริมสร้างความมั่นคงของชาติ บรรลุเป้าหมายแห่งศตวรรษของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนในปี 2027 สร้างความคืบหน้าในการสร้างจีนที่สงบสุข
- เพิ่มพูนสถานภาพและอิทธิพลระดับนานาชาติของจีน ช่วยให้จีนมีบทบาทสำคัญในธรรมาภิบาลโลกยิ่งขึ้น
ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทั้งฝั่งคัดด้านและสนับสนุน
วีโอเอไทย ออกรายงานวิเคราะห์อนาคต 'สี จิ้นผิง' ในเวทีประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยมีความเห็นจากฝั่งผู้คัดค้านและผู้สนับสนุนไว้ว่า
ฝั่งผู้คัดค้านการบริหารประเทศของสี จิ้นผิง มองว่าผู้นำจีนรายนี้เป็นผู้นำที่จุกจิกเน้นรายละเอียดและเป็นผู้นำเผด็จการที่ย่ำแย่ โดยเปรียบเทียบเขากับอดีตผู้นำเหมา เจ๋อตุง และกล่าวหาผู้นำสีว่าพยายามอยู่ในอำนาจตลอดไป นอกจากนี้ยังโจมตีการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดเพื่อคุมการระบาดของโควิดที่อ้างว่าเป็นมาตรการรักษาชีวิตประชาชนจีน ว่าทำให้เศรษฐกิจจีนและระบบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกได้รับผลกระทบ
แต่ในมุมมองของ ลูอิส เฉิน นักธุรกิจที่เป็นเพื่อนกับปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่า "เขา (ปธน.สี) นึกถึงอนาคตของประเทศและชีวิตของประชาชนเป็นหลัก แต่สื่อต่างชาติตีข่าวแต่แง่ลบของเขา"
อย่างไรก็ตาม เฉิน มีทัศนะที่สวนทางกับนักวิเคราะห์มากมาย ที่ต่างคาดการณ์ว่า ปธน.สี จะไม่เพียงแต่อยู่ต่อในสมัยสามเท่านั้น แต่จะดำรงตำแหน่งตลอดไป เพราะเฉินมองว่า ผู้นำสีอาจตระหนักดีถึงขีดจำกัดของตัวเอง เขากล่าวกับวีโอเอว่า "เขา (ปธน.สี) เพียงต้องการจะอยู่ต่ออีก 5 ปี เพื่อทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นเท่านั้น"
เฉิน ชี้ว่า แรงกดดันจากภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจมีบทบาทต่อการดำรงตำแหน่งของปธน.สี "เพราะนโยบายต่อต้านการทุจริตที่รุนแรง อาจสร้างความขุ่นเคืองให้กับหลายคนที่เป็นสมาชิกพรรค ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว คนเพียงคนเดียวไม่อาจทำหลายสิ่งได้ทั้งหมด"