Skip to main content

3 ส.ค. 2565 การประชุมใหญ่วิสามัญ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยผู้ได้รับการเลือกตั้ง ประกอบด้วย หัวหน้าพรรค พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, เลขาธิการ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์, เหรัญญิก ปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ, นายทะเบียน เกรียงยศ สุดลาภา, และกรรมการบริหารอื่น ประกอบด้วย วิทยา แก้วภราดัย รศ.(พิเศษ), ดวงฤิทธิ์ เบญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง, ชื่นชอบ คงอุดม, วิสุทธิ์ ธรรมเพชร และเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ 
  
พีระพันธุ์ เปิดเผยภายหลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า วันนี้นับเป็นครั้งแรกของการประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีเพื่อนพี่น้องร่วมอุดมการณ์เดียวกันที่มีความตั้งใจที่จะเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง และได้มีโอกาสกลับมารวมตัวเพื่อทำงานกันอีกครั้งหนึ่ง โดยได้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค กำหนดเป้าหมาย วิสัยทัศน์การทำงานต่างๆ และเลือกให้ตนทำหน้าที่หัวหน้าพรรคเพื่อเดินหน้างานด้านการเมืองต่อไป

พีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคที่ได้รวบรวมกลุ่มคนทำงาน ที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งคนที่มีประสบการณ์ในการเป็น ส.ส.ทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนมาแล้ว ผู้ที่เคยเป็น ส.ส. และคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจจะเข้ามาทำงานในฐานะนักการเมือง เพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติตามวิสัยทัศน์หลักของพรรค คือการสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสในการดำรงชีวิตในทุกมิติอย่างเท่าเทียมกัน โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคการเมืองที่มุ่งเรื่องของการทำงานมากกว่าการเล่นการเมือง ซึ่งตนได้บอกกับทุกคนว่า อยากให้มองเห็นเรื่องของการทำงานเพื่อประเทศชาติประชาชนเป็นสำคัญ เพราะผลงานที่ทุกคนทำจะทำให้ได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างแท้จริง

“นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ เน้นที่เรื่องของการทำงานแบบสู้ทุกปัญหา ประชาชนสามารถพึ่งพาได้ทุกเรื่อง เพื่อที่จะทำให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามุ่งมั่นที่จะเข้ามาแก้ไขในเรื่องของการแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ หรือเศรษฐกิจ ด้วยพื้นฐานจากการที่ผมเคยทำงานด้านกฎหมาย ทั้งในฐานะอดีตผู้พิพากษา ที่ต้องอยู่กับกฎหมายมาตลอดทำให้ผมเห็นว่ามีกฎหมายของไทยจำนวนมากที่ยังไม่เอื้อต่อการทำงานพัฒนาประเทศ บางข้อก็เป็นอุปสรรค หรือยังทำให้เกิดการปิดกั้นโอกาสและเป็นปัญหาขัดแย้งมากมาย  ดังนั้นในฐานะของ ส.ส.ที่มีหน้าที่ด้านการออกกฎหมายอยู่แล้ว จึงควรที่จะเข้าไปดูแลเรื่องนี้ และนั่นคือนโยบายแรกที่พรรคเราจะทำ” นายพีระพันธุ์กล่าว

พีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาตนได้เคยทำงานมาแล้วทั้งการเป็นผู้พิพากษา รัฐมนตรี และ ส.ส. ซึ่งถือว่าครบทั้งในส่วนของตุลาการ บริหาร และนิติบัญญัติ ทำให้เข้าใจปัญหาและอุปสรรคต่างๆ และตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา ขจัดเงื่อนไขในข้อกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานพัฒนาประเทศ ซึ่งยังเห็นว่ามีอยู่มาก โดยเฉพาะความไม่ละเอียดในเนื้อหาของกฎหมาย หรือความไม่ชัดเจน รวมไปถึงเงื่อนไขที่อาจจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในสังคมได้ กฎหมายเหมือนกติกาสังคม แต่สังคมไม่ได้เป็นคนเขียน กลายเป็นว่าที่เขียนกฎหมายมาเพื่อให้ทำงานง่าย ไม่ได้เขียนมาในมุมมองว่าประชาชนได้ประโยชน์แค่ไหน ทำให้หลายครั้งกฎหมายมาสร้างความทุกข์ให้กับประชาชน ถ้ากฎหมายล้าสมัย ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน บ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมุ่งเรื่องการทำงานด้านนี้เป็นอันดับแรก เพราะเชื่อว่ากฎหมายจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานเพื่อบ้านเมืองได้ หากกฎหมายชัดเจน และไม่เป็นอุปสรรค ประเทศชาติก็จะเดินหน้าไปได้โดยไม่ติดขัด กฎหมายสามารถทำให้สังคมดีขึ้นได้

“กฎหมายบางประการก็ส่งผลถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมกันในสังคม ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ หรือกฎหมายทางธุรกิจ ที่ผมเห็นว่ากฎหมายบางตัวกลับเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก แต่กลับไปเอื้อให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ยิ่งใหญ่ยิ่งสะดวกในการทำธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจเล็กๆ จำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของประเทศต้องพบอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องของข้อกำหนดเรื่องเงินกู้ ดอกเบี้ย หรือกฎหมายสัญญาต่างๆ ที่เป็นกรอบให้พวกเขาไม่สามารถเติบโตได้ หากเราแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตได้มากยิ่งขึ้น และยังจะส่งผลไปถึงกลุ่มคนตัวเล็กตัวน้อย ที่เป็นรากฐานสำคัญของประเทศให้มีโอกาสในการทำมาหากินและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย” พีระพันธุ์ กล่าว

พีระพันธุ์ ยังกล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคสำรองให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ตนไม่สนใจว่าใครจะพูดอย่างไร เพราะแต่ละคนก็มีชุดความคิดของตัวเองที่แตกต่างกันไปอยู่แล้ว ไม่สามารถห้ามความคิดของใครได้ และไม่จำเป็นที่จะต้องไปปฏิเสธว่าจริงหรือไม่จริง เพราะสุดท้ายความจริงก็จะปรากฏเอง แต่ความตั้งใจของการตั้งพรรคไม่ได้วางไว้ว่าจะมาเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านหรือมาสนับสนุนใคร เพราะสิ่งที่มองไว้คือการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักเท่านั้น คือต้องการทำให้สังคมดีขึ้นกว่านี้ โดยไม่มองว่าจะต้องมีตำแหน่งอะไร เพราะเชื่อว่าหากทุกคนตั้งใจมาทำงานเพื่อประชาชนแล้ว ถึงไม่มีตำแหน่งอะไรก็สามารถทำงานได้เช่นกัน