Longevity หรือการมีอายุยืนยาวโดยที่ยังคงสุขภาพที่ดี (healthspan) ไว้ตลอดอายุขัย (lifespan) เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบันทั้งทางการแพทย์และสาธารณสุขจากการที่อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวยิ่งขึ้น แต่การมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว อาจไม่ตอบโจทย์ความหมายของชีวิต หากปราศจากซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “joyspan”
“Joyspan” หรือ ช่วงระยะเวลาที่มีความสุข เป็นผลจากการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และความพึงพอใจกับชีวิต ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากปราศจากระยะเวลาที่มีสุขแล้ว ชีวิตที่ยืนยาวก็เป็นแค่การยืดเวลาอันสุดแสนน่าเบื่อในชีวิตให้ยาวนานออกไป
ดร.เคอร์รี เบอร์ไนท์ ผู้สอนเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ และวิทยาการผู้สูงอายุ ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ บอกว่า จากการค้นคว้างานวิจัยเกี่ยวกับการมีอายุยืน (longevity) และความเป็นอยู่ที่ดี (wellness) และยิ่งขุดลึกลงไป ทำใหเธอเริ่มเห็นรูปแบบบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ชัดเจนขึ้น
เธอบอกว่า แค่การมีอายุยืน (lifespan) และมีสุขภาพดี (healthspan) ยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีสิ่งที่เธอเรียกว่า “joyspan” เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของการมีอายุที่ยืนยาวได้อย่างแท้จริง ซึ่ง Joyspan หมายถึง ช่วงชีวิตยืนยาวที่เต็มไปด้วยความสุข ความพึงพอใจในชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดี หากไม่มี joyspan แล้ว ชีวิตที่ยืนยาวก็จะกลายเป็นเพียงการมีจำนวนปีของชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายซึ่งยืดยาวออกไป
ดร.เคอร์รีบอกว่า ใครก็ตามที่พูดว่า “อายุเป็นเพียงตัวเลข” แสดงว่าพวกเขายังไม่เคยแก่ เพราะการแก่ตัวไปไม่ใช่เรื่องง่าย และกาลเวลามักนำพาความท้าทายต่างๆ เข้ามาเสมอ ทั้งบทบาททางสังคมที่เปลี่ยนไปจากเดิม การมองเห็นระยะใกล้ ผิวหนังที่เริ่มหย่อนคล้อย รวมถึงโรคร้ายต่างๆ ที่เริ่มปรากฏขึ้น
เธอบอกว่า จากประสบการณ์การสอนวิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ และวิทยาการผู้สูงอายุ ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ นาน 19 ปี ทำให้เห็นการปรับตัวของผู้คนเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ซึ่งมีความแตกต่างอย่างสุดขั้ว
เธอบอกว่า ความแก่สำหรับบางคน คือ ความหงุดหงิด ความเสื่อมถอย และความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่บางคนกลับพบความสุข ความสงบทางจิตวิญญาณ และความยินดีในช่วงที่เข้าสู่วัย 80 ปี 90 ปี และ 100 ปี
ดร.เคอร์รีบอกว่า การมีอายุยืน (longevity) จุดสนใจหลักมักอยู่ที่เรื่องอายุขัย (lifespan) แต่เมื่อไม่นานมานี้ เริ่มมีความสนใจในเรื่องของการมีชีวิตยืนยาวโดยที่มีสุขภาพดี (healthspan) ซึ่งทุกคนต่างล้วนอยากมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีชีวิตที่มีคุณภาพให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอบอกว่า แม้จะมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี ก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก หากว่าเราไม่ชื่นชอบชีวิตของตัวเอง ซึ่งถึงแม้จะมีชีวิตยืนยาวขึ้นอีกหลายสิบปี แต่ก็จะไม่รู้วิธีจัดการกับอายุที่ยืดออกไปนั้นอยู่ดี
ดร.เคอร์รีบอกว่า การเติบโตงอกงามในวัยสูงอายุ หมายถึง การมีชีวิตที่เติมเต็ม มีเป้าหมาย และรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากับวัยชราในเรื่องร่างกาย สมอง อารมณ์ ความสัมพันธ์ทางสังคม และความหมายในชีวิต
เธอบอกว่า การเติบโตงอกงามในช่วงสูงวัย ไม่ได้หมายความว่า จะต้องปราศจากปัญหาสุขภาพหรือไร้ซึ่งอุปสรรคต่างๆ แต่หมายถึง การมีความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับตัว และความสามารถในการค้นหาความสุขและคุณค่าในชีวิตโดยมีความพยายามตั้งใจที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับตัวเอง
ดร.เคอร์รีเล่าว่า จากการศึกษาผลการวิจัยเชิงประจักษ์เกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดี (wellness) และการมีอายุยืนยาว (longevity) ในผู้สูงอายุ ทำให้เห็นถึงรูปแบบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังงานวิจัยจำนวนหลายร้อยชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยของการเติบโตงอกงามในผู้สูงวัย ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 4 อย่าง คือ
- การเติบโต (Grow) หมายถึง การขยายขอบเขตตัวเองและการสำรวจค้นหาสิ่งใหม่ ๆ
- การเชื่อมต่อ (Connect) หมายถึง การสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมใหม่ๆ โดยที่ยังรักษาความสัมพันธ์เดิมไว้
- การปรับตัว (Adapt) หมายถึง การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่เกิดขึ้น
- การให้ (Give) หมายถึง การแบ่งปันสิ่งที่มีกับผู้อื่น
ดร.เคอร์รีบอกว่า องค์ประกอบทั้ง 4 อย่างเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับความเป็นอยู่ที่ดีตลอดอายุขัยที่ยืนยาว และเป็นสิ่งที่แต่ละคนสามารถพัฒนาได้
ส่วน joyspan นั้นต่างจาก happiness ดร.เคอร์รีบอกว่า ตามนิยามของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน “joy” หมายถึง ความปิติ เป็นความรู้สึกที่เกิดจากความเป็นอยู่ที่ดี หรือมีความพึงพอใจกับชีวิต ต่างจาก “happiness” ซึ่งหมายถึง ความสุขที่มักมาแล้วก็ไป และมักขึ้นกับสิ่งแวดล้อมหรือบริบทภายนอก แต่ joy เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้แม้ในยามเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ดร.เคอร์รียกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อนบ้าน 2 คนของเธอ คนแรกอายุ 81 ปี ซึ่งมักบทสนทนามักวนเวียนอยู่กับเรื่องของตัวเอง ทั้งความไม่สบายตัว อาการปวดแสบปวดร้อนที่มือ เรื่องรายการทีวีไร้สาระ และความรู้สึกแย่จากอากาศร้อน
ดร.เคอร์รี บอกว่า เพื่อนบ้านรายแรกมองชีวิตของตัวเองเป็นเหมือนการดิ่งลงเหวที่ลึกลงเรื่อยๆ ไม่มีทางกลับขึ้นมาได้ จนเธอเลิกมีส่วนร่วมกับชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ทำในสิ่งที่เคยรัก ไม่ติดต่อเพื่อนๆ และไม่ท้าทายตัวเองอีกต่อไป กลับใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการเอนหลังบนเก้าอี้ ซึ่งทำให้ขาของเธออ่อนแรงลงอย่างมาก และโทษว่าเป็นเพราะ “คำสาปของความแก่” และนี่เป็นตัวอย่างที่ ดร.เคอร์รี บอกว่า มีกรอบความคิดแบบเสื่อมถอย (decline mindset) อย่างชัดเจน
ขณะที่เพื่อนบ้านคนที่สอง อายุ 82 ปี เป็นคนที่มีความสดใสอยู่เสมอ และสังเกตเห็นความไม่ปกติบางอย่างในตัวคนอื่นได้เร็ว เป็นคนตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ และมีคำแนะนำจากประสบการณ์ของตัวเองในการรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น
เพื่อนบ้านคนที่สองยังสนใจสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เช่น ต้นไม้ที่เพิ่งปลูก สูตรอาหารใหม่ หนังสือที่น่าสนใจ หรือนิทรรศการศิลปะที่กำลังจะจัดขึ้น ดร.เคอร์รี บอกกว่า เพื่อนบ้านคนที่สองเป็นตัวอย่างของ คนที่มีกรอบความคิดแบบเติบโต (growth mindset) ซึ่งหมายถึงการเติบโตที่จะค่อยๆ กลายเป็นตัวตนของตัวเองในแบบที่ลึกซึ้งขึ้น
“ฉันว่าชีวิตมันน่าทึ่งมากเลยนะ ถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงเติบโต เหมือนที่ฉันเคยเติบโตมาตลอดทุกช่วงของชีวิตเลยล่ะ” เพื่อนบ้านคนที่สองของ ดร.เคอร์รีบอก
ที่มา
I’m an expert on ageing. Here’s what I know about thriving in later life