Skip to main content

 

ในสิงคโปร์ มีกรณีผู้สูงอายุถูก “ทารุณกรรมทางการเงิน” (Financial abuse) โดยลูกๆ และคนรักของพวกเขาเองเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลายคนสิ้นเนื้อประดาตัว และต้องเป็นคนไร้บ้าน แต่ส่วนใหญ่มักไม่ปริปากบอกกับใคร เพราะกลัวลูกหลาน หรือคนที่รักถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย

ผลการศึกษาของ กระทรวงพัฒนาสังคมและครอบครัวสิงคโปร์ ชี้ว่า การทารุณกรรมทางการเงินกับผู้สูงอายุ โดยคนในครอบครัวเป็นเรื่องที่น่ากังวล ขณะที่ผู้สูงอายุที่เป็นเหยื่อมักไม่ปริปากถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะอายและกลัวผลพวงที่จะเกิดขึ้นตามมากับลูกๆ ซึ่งความไม่เต็มใจที่จะเปิดเผย หรือการปฏิเสธว่าไม่ได้ถูกล่วงละเมิดทางการเงิน เป็นอุปสรรคสำคัญของการทำงานในการแก้ปัญหาของเจ้าหน้าที่

นักกฎหมายและผู้ที่ทำงานเพื่อสังคมบอกว่า พบเจอกรณีแบบนี้ในผู้สูงอายุบ่อยครั้งมาก จากการถูกหลอกเงินโดยคนที่รัก จนแม้แต่เงินเก็บที่ซ่อนเอาไว้ก็ไม่เหลือ หรือกรณีที่ลูกๆ บังคับพ่อแม่ให้จ่ายเงินเพื่อซื้อทรัพย์สินต่างๆ ให้ หรือถอนเงินจากบัญชีธนาคารของพ่อแม่ออกมาจนหมดโดยที่พ่อแม่ไม่รู้

ตัน เค็งฉวน เจ้าหน้าที่ด้านสังคมของศูนย์ THK Family Service บอกว่า เหยื่อจำนวนมากเลือกที่จะเงียบ เพราะรู้สึกอาย และรู้สึกผิดหากต้องทำให้คนในครอบครัวเดือดร้อน เช่น การทำให้ลูกๆ ถูกเนินคดีทางกฎหมาย

จง เยว่เอิน กรรมการผู้จัดการสำนักกฎหมาย Bethel Chambers บอกว่า ผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่อบางรายกว่าจะยอมปริปากเล่า ก็เมื่อรู้ตัวว่าเงินในบัญชีออมทรัพย์ถูกคนใกล้ชิดถอนไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว

บางกรณี การทารุณกรรมทางการเงินต่อผู้สูงอายุเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี แต่เหยื่อที่เป็นพ่อแม่พยายามทำให้เป็นเรื่องปกติ เหมือนกับว่าพวกเขามีหน้าที่ต้องยังเลี้ยงดูลูก ขณะที่เหยื่อบางคนก็ทำใจยอมรับว่าเป็นโชคชะตาของตัวเอง

ข้อมูลจาก Care Corner Project Start ศูนย์การจัดการความรุนแรงในครอบครัว เผยว่า มีกรณีการทารุณกรรมทางการเงินต่อผู้สูงอายุเกิดขึ้นราว 20 ถึง 25 กรณีในปี 2024 มีกรณีที่ลูกชายเรียกร้องเงินจากแม่สูงอายุติดต่อกันมาหลายปี ครั้งหนึ่งเขาต่อยหน้าแม่ หลังจากที่แม่ขู่ว่าจะเลิกจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือให้ และอีกครั้งหนึ่ง เขาทำร้ายร่างกายแม่อย่างรุนแรงเพราะถูกปฏิเสธที่จะจ่ายค่าเรียนกีฬาให้

สถานการณ์ที่พบบ่อยครั้ง คือการที่ผู้สูงอายุฝากบัตรเอทีเอ็มไว้กับคนในครอบครัวเพื่อช่วยกดเงิน เนื่องจากเคลื่อนไหวไม่สะดวก บางครั้งเปิดบัญชีเงินฝากร่วมกับลูก แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ลูกๆ หรือคนในครอบครัวกลับถอนเงินของผู้สูงอายุไปใช้จนหมดโดยที่ไม่บอก หรือไม่ได้รับความยินยอมจากพ่อแม่

มีกรณีของชายวัย 80 ปี ซึ่งฝากบัตรเอทีเอ็มไว้กับคู่รักของญาติเพื่อให้ช่วยซื้ออาหารให้ ต่อมาเขาพบว่าเงินในบัญชีเหลือเพียง 1 ดอลลาร์ จากการที่คู่รักของญาติถอนเงินไปใช้เองเป็นจำนวนหลายหมื่นดอลลาร์ เจ้ากน้าที่บอกว่า กรณีแบบนี้มีความยากลำบากในการพิสูจน์ว่า เป็นการถอนเงินโดยได้รับอนุญาตหรือได้รับความยินยอมจากเจ้าของเงินหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อผู้สูงอายุมีบัญชีร่วมกับลูก หรือได้มอบบัตรเอทีเอ็มให้ลูกหรือคนใกล้ชิดไปแล้ว

ยังมีกรณีของผู้หญิงวัย 70 ปีเศษ ที่ถูกลูกชายหลอกว่า จะดูแลเธอหากเธอยอมขายบ้านกับที่ดิน แต่เมื่อขายบ้านเรียบร้อยและ ลูกชายกลับหายตัวไปพร้อมเงินก้อนโตนั้น ทำให้แม่ต้องระเห็จไปอยู่บ้านพักสำหรับผู้สูงอายุรายได้น้อย กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ไร้บ้าน และถูกทอดทิ้ง

สำนักช่วยเหลือทางกฎหมาย ของกระทรวงกฎหมายสิงคโปร์ เผยว่า มีคดีที่เกี่ยวกับการทารุณกรรมการเงินของผู้สูงอายุถูกคนใกล้ชิดตกราวปีละ 5 คดี ส่วนใหญ่ใช้วิธีเจรจามากกว่าการฟ้องร้องในศาล แต่ก็มีกรณีที่ช่วยเหลือหญิงวัย 101 ปีให้ได้ทรัพย์สินคืนจากลูกสาว จากกรณีที่ลูกสาวพาเธอไปอยู่บ้านพักคนชรา และถอนเงินจากบัญชีธนาคารทั้งหมด  รวมทั้งโอนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเข้าบัญชีตนเอง แต่หลังจากหญิงชราขอความช่วยเหลือจากสำนักช่วยเหลือทางกฎหมาย จึงทำให้ศาลมีคำสั่งบังคับให้ลูกสาวคืนเงินทั้งหมดพร้อมทั้งดอกเบี้ย

การทารุณกรรมทางการเงิน ส่งผลให้ผู้สูงอายุบางรายเกิดภาวะซึมเศร้า หรือเกิดภาวะวิตกกังวลอย่างรุนแรง บางรายถึงกับคิดฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็ต้องอดทนอยู่แบบเงียบๆ แม้จะได้รับผลกระทบที่หนักหนาสาหัส

การสำรวจเจ้าหน้าที่ดูแลชุมชนเกือบ 300 คน เช่น พยาบาล นักบำบัด และที่ปรึกษา เกี่ยวกับความสามารถในการจัดการกับปัญหาการล่วงละเมิดผู้สูงอายุ พบว่า มีเพียงร้อยละ 28 ของเจ้าหน้าที่ที่รู้สึกว่ามีความรู้เพียงพอในเรื่องนี้ ขณะที่ราวครึ่งหนึ่งระบุว่า ไม่เคยได้รับการฝึกอบรมมาก่อนในการจัดการกับกรณีลักษณะนี้

ขณะที่สมาคมธนาคารของสิงคโปร์ และธนาคารใหญ่ต่างๆ ได้ออกคำแนะนำในการปกป้องผู้สูงอายุไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการทารุณกรรมทางการเงินจากคนที่พวกเขารัก


ที่มา
Broke and betrayed: The silent scourge of S’pore seniors financially abused by their own children