ข้อมูลจากการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคของ DDproperty แพล็ตฟอร์ด้านที่อยู่อาศัยของไทย ช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม 2568 พบว่า โครงการที่อยู่อาศัยแบบ “มิกซ์ยูส” มีแนวโน้มของความต้องการซื้อและเช่าอยู่เติบโตมากที่สุด โดยเฉพาะในย่านเศรษฐกิจสำคัญและทำเลที่เชื่อมต่อไปยังย่านธุรกิจชั้นนำ
ปัจจุบัน โครงการที่อยู่อาศัยแบบ “มิกซ์ยูส” กลายเป็นอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คนเมือง จากการนำเสนอที่อยู่อาศัยที่ออกแบบให้ทุกพื้นที่สามารถอำนวยความสะดวกให้การใช้ชีวิตสำหรับคนรุ่นใหม่ ครอบครัว ตลอดจนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย รวมถึงนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์
ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในพื้นที่กรุงเทพฯ - ปริมณฑล ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 พบว่า การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสในพื้นที่กรุงเทพฯ - ปริมณฑล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนการก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูสทั้งหมด 152 โครงการ คิดเป็นพื้นที่รวม 23,712,657 ตารางเมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.42 จากช่วงครึ่งหลังของปี 2567
ในปี 2567 ถือว่าเป็นปีที่มีพื้นที่อาคารรวมโครงการมิกซ์ยูสใหม่เข้าสู่ตลาดมากที่สุดถึง 1,916,656 ตารางเมตร จากพื้นที่อาคารรวมทั้งหมด 23,712,657 ตารางเมตร โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568-2572 จะมีการก่อสร้างพื้นที่อาคารรวมของโครงการมิกซ์ยูสเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอีกกว่า 5,470,179 ตารางเมตร สะท้อนให้เห็นทิศทางการเติบโตเชิงบวกของอสังหาริมทรัพย์รูปแบบนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองหลวงและย่านเศรษฐกิจที่มีประชากรหนาแน่น
DDproperty เผยว่า ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย พบว่า เทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากผู้บริโภคนอกจากจะให้ความสำคัญเรื่องทำเลที่ตั้งแล้ว ยังคาดหวังถึงความสะดวกสบายในตอนที่อยู่อาศัยด้วย
โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) คือ โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่รวมโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการเพื่อพาณิชกรรมไว้บนพื้นที่เดียวกัน เน้นการพัฒนาที่ดินให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผ่านการออกแบบที่มุ่งตอบโจทย์ทั้งด้านที่อยู่อาศัย, แหล่งชอปปิ้ง/ย่านการค้า, สถานที่ทำงาน และพื้นที่พักผ่อนไว้ครบในที่เดียว โดยภายในโครงการจะประกอบไปด้วยคอนโดมิเนียม, โรงแรม, อาคารสำนักงาน, ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น
DDproperty ระบุว่า โครงการมิกซ์ยูสส่วนใหญ่จะถูกพัฒนาในทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) หรือย่านธุรกิจ หรือพื้นที่รอบนอกของเมืองที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจขนาดใหญ่ของทำเลนั้นๆ จึงทำให้ทำเลที่มีโครงการมิกซ์ยูสมีศักยภาพในการเติบโต และดึงดูดผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย
ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมให้โครงการมิกซ์ยูสกลายเป็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยของยุคนี้ Ddproperty ระบุว่า นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันในพื้นที่เดียว และเรื่องของทำเลที่ตั้งแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องของการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย และเป็นที่พักอาศัยที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว
สำหรับทำเลที่มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดของกรุงเทพฯ ได้แก่ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา โดยมีความต้องการเติบโตขึ้นร้อยละ 13.3 ด้วยจุดเด่นการเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ และเป็นทำเลที่เชื่อมต่อไปยังย่านธุรกิจชั้นนำ รวมถึงเป็นแหล่งรวมร้านอาหารและสถานบันเทิง สำนักงาน สถานพยาบาล และสถานศึกษา รองรับการอยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี โดยมีโครงการที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยากว่าย่าน CBD จึงสามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี
ข้อมูลจาก DDproperty พบว่า 5 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ได้แก่
1. แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา มีความต้องการซื้อและเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.3 มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น The Strand Thonglor, Marché Thonglor และ APAC Tower
2. แขวงคลองตัน เขตคลองเตย มีความต้องการซื้อและเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 ตัวอย่างโครงการมิกซ์ยูสในเขตนี้ เช่น THE PARQ และ FYI Center
3. แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา มีความต้องการซื้อและเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1ในเขตนี้มีโครงการมิกซ์ยูส เช่น The Strand Thonglor, Marché Thonglor และ APAC Tower
4. แขวงสีลม เขตบางรัก มีความต้องการซื้อและเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7ในทำเลนี้มีโครงการคิง เพาเวอร์ มหานคร, Park Silom และ Dusit Central Park รวมถึง Boonmitr Silom ตั้งอยู่ในเขตเดียวกัน
5. แขวงจอมพล เขตจตุจักร มีความต้องการซื้อและเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 มีโครงการน่าสนใจ เช่น BTS Visionary Park
ส่วนฝั่งธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน เป็นทำเลที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28.1 จากจุดเด่นที่เดินทางได้สะดวกทั้งทางรถยนต์ เรือ และรถไฟฟ้าสายสีทอง เมื่อมีโครงการมิกซ์ยูส ศูนย์การค้า และโรงแรมเปิดให้บริการในเขตนี้ จึงช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในย่านนี้มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาที่พักอาศัยวิวริมแม่น้ำหรือติดรถไฟฟ้า ถือเป็นทำเลน่าจับตามองและมีศักยภาพเติบโตเป็นศูนย์กลางธุรกิจได้ในอนาคต