Skip to main content

 

ธนาคารโลก เปิดตัวรายงานล่าสุด The Thailand Country Climate and Development Report (CCDR) เสนอวิธีการที่ประเทศไทยจะปรับตัว เพื่อให้มี “ความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” และบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูง

รายงานระบุว่า นับจากปี 2010 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.6 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการชะลอของการลงทุน การปรับโครงสร้างการเกษตรจากการผลิตที่มีมูลค่าต่ำไปสู่การผลิตที่มีมูลค่าสูงหยุดชะงัก การจ้างงานในภาคการเกษตรยังคงมีสัดส่วนสูงถึงเกือบร้อยละ 30 ของกำลังแรงงาน โดยที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ถึงร้อยละ 10 ของจีดีพี

นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรสูงวัย พร้อมกับวัยแรงงานที่เริ่มลดจำนวนลง ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ความแออัดในเมืองและการกระจุกตัวของรายได้และความมั่ง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร กฎระเบียบและความเข้มงวดของการลงทุน ที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันและนวัตกรรม  ยังไม่รวมถึงมาตรการกีดกันการค้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นและกำลังเป็นอุปสรรคกับการส่งออกของไทย

รายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะยิ่งซ้ำเติมความท้าทายเหล่านี้ให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดน้ำท่วมในเขตเมืองให้สูงเป็นอันดับต้นของโลก และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมของไทยอย่างมาก และยิ่งซ้ำเติมประชาชนในชนทบทที่ยากจนให้ต้องเผชิญกับภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำที่รุนแรงขึ้น รูปแบบของฝนที่เปลี่ยนไปซึ่งทำลายผลผลิตทางการเกษตร ทำให้ความเหลื่อมล้ำย่ำแย่ลง คลื่นความร้อนและอากาศร้อนที่ยาวนานขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและผลผลิตของแรงงาน และเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพ

 


การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความท้าทายต่อการพัฒนา

 

รายงานระบุว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ “ปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ” เพื่อช่วยจำกัดความความเสียหายจากภัยพิบัติที่เกิดจากสภาพอากาศ และเพื่อปกป้องกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุด รวมถึงต้องลดการ “ปล่อยก๊าซเรือนกระจก” เพื่อเพิ่มความได้เปรียบด้านการแข่งขันในอนาคต ในการผลิตสินค้าและบริการที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ

รายงานธนาคารโลกเผยว่า ประเทศไทยจะก้าวสู่ประเทศที่มีรายได้สูงได้ยากมาก หากไม่มีการดำเนินมาตรการทางด้านสภาพภูมิอากาศ และหากต้องการบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2037 ไทยจำเป็นต้องมีรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยที่ร้อยละ 5 ต่อปี  ซึ่งจะยากยิ่งขึ้นเนื่องจากความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ อาจฉุดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจลงได้ถึงร้อยละ 0.5 หรือมากกว่านั้นในช่วง 10 ถึง 20 ปีข้างหน้า

แต่หากไม่มีมาตรการด้านการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะรุนแรงยิ่งขึ้น ภาคการเกษตรจะเสี่ยงต่อผลกระทบจากอากาศร้อนจัด ภัยแล้ง และการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีผู้อาศัยอยู่ราวร้อยละ 40 ของประเทศ ภาคอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวบริเวณรอบกรุงเทพฯ จะเสี่ยงต่อน้ำท่วม ซึ่งร้อยละ 70 ของความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 เกิดในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่อยุธยาและปทุมธานี สร้างความเสียหายสูงคิดเป็นร้อยละ 12.6 ของจีดีพี

สภาพอากาศที่ร้อนจัดจะลดทอนประสิทธิภาพแรงงานลงอย่างมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และจังหวัดที่เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม แรงงานที่ทำงานกลางแจ้งจะมีความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อนเพิ่มสูงขึ้น อากาศร้อนจัดจะส่งผลให้ผลผลิตของแรงงานในภาคการเกษตรลดลงถึงร้อยละ 14 ส่วนในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม ประสิทธิภาพการผลิตจะลดลงร้อยละ 5 ถึง 7

รายได้จากการท่องเที่ยวจะลดลง เนื่องจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ไทยสูญเสียพื้นที่แนวชายฝั่งที่มีประชากรหนาแน่นและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจไปแล้วราว 75,000 ไร่ จากการสูญเสียแนวป้องกันธรรมชาติ  เช่น ป่าชายเลน และป่าชายหาดที่ถูกทำลายจากการใช้ที่ดินแบบไม่ยั่งยืน และการขยายตัวของเมือง

รายงานระบุว่า หากไม่มีการปรับตัว ไทยอาจสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวมากถึง 1 พันล้านดอลลาร์ภายในกลางทศวรรษ 2040

ผลกระทบต่อรายได้ประชาชนจะหนักที่สุดกับคนจนและกลุ่มคนเปราะบาง ซึ่งพื้นที่ที่ขาดน้ำและเสี่ยงน้ำท่วมมักเป็นพื้นที่ที่มีความยากจนสูง รายได้ของคนที่พึ่งพาการปลูกข้าวและการทำประมง มีความอ่อนไหวต่อความร้อนและภัยแล้ง ขณะที่ระบบชุมชนอ่อนแอ โครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและสาธารณสุขที่ไม่เพียงพอ จะยิ่งทำให้ความเปราะบางมีความซับซ้อนมากขึ้น

 

 


ข้อเสนอต่อการปรับตัวทางด้านสภาพภูมิอากาศ

 

รายงานเผยข้อมูลคาดการณ์ระหว่างปี 2035ถึง 2044 ชี้ว่า จำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2010 โดยวงรอบเวลาของการเกิดน้ำท่วมใหญ่จะสั้นลงอย่างมาก ภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำจะมีความถี่มากขึ้น ส่งผลกระทบทั้งในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และในครัวเรือน

รายงานเสนอว่า ประเทศไทยต้องดำเนินมาตรการตาม “9 แผนงาน แก้วิกฤตน้ำท่วมลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง” ในการจัดการปัญหาน้ำท่วมแบบครบวงจร ผ่านเขื่อนต้นน้ำ ทางเบี่ยง และการปรับปรุงโครงสร้างระบายน้ำ ควบคู่ไปกับการจัดการที่ดินและการกำหนดเขตอนุรักษ์ป่าในพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบน และการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อช่วยลดความเสียหาย ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ เสนอให้รวมแผนจังหวัดและหาเงินทุนสร้างอ่างเก็บน้ำ คลอง และเครือข่ายแม่น้ำขนาดเล็ก เสริมด้วยการจัดการลุ่มน้ำอย่างยั่งยืน เช่น การปลูกป่าและฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ และบังคับใช้ผังเมืองที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ปรับงบประมาณ โดยนำเงินที่ใช้เพื่ออุดหนุนสินค้าเกษตร ไปลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรกรรมอัจฉริยะต่อสภาพภูมิอากาศ และเสนอให้ปรับระบบกฎหมาย และการใช้ที่ดินเพื่อสนับสนุนการเกษตรที่มีความยั่งยืน

ในภาคอุตสาหกรรม การแย่งการใช้น้ำระหว่างภาคเกษตรและเมืองจะเพิ่มขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ต้องลงทุนในโครงสร้างบำบัดน้ำเสีย ระบบส่งและเก็บกักน้ำ และให้มีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รายงานระบุว่า การลงทุนด้านโครงสร้าง เช่น แนวกันคลื่น มีค่าใช้จ่ายสูงและมีความยืดหยุ่นน้อยต่อสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายขึ้น ทั้งยังอาจรบกวนการไหลของตะกอน และทำให้กัดเซาะชายฝั่งเพิ่มขึ้น รายงานเสนอให้มีการลงทุนในแนวทางป้องกันทางธรรมชาติ เช่น  การปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติม การเติมทรายให้กับชายหาด จะสามารถบรรเทาการกัดเซาะและสร้างรายได้ให้กับท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น รวมถึงช่วยการปกป้องอาชีพของประมงท้องถิ่น และช่วยเพิ่มการกักเก็บคาร์บอน

ส่วนผลกระทบจากสภาพอากาศร้อนจัด รายงานเสนอให้มีการลงทุนเพื่อลดความร้อนในที่สาธารณะและที่อยู่อาศัย โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้มีรายได้น้อย สร้างสถานที่มีเครื่องปรับอากาศสาธารณะ ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงทางด้านสุขภาพและช่วยปกป้องกลุ่มคนที่เปราะบางได้ นอกจากนี้ ยังเสนอให้เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีความเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งจัดทำระบบทะเบียนสวัสดิการสังคมแบบบูรณาการ เพื่อปรับปรุงการเข้าถึงและการช่วยเหลือคนที่เปราะบาง

 


ข้อเสนอเพื่อบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน และคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์

 

รายงานระบุว่า ในปี 2022 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยราว 2 ใน 3 เกิดจากภาคพลังงาน ส่วนใหญ่จากการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง ขณะที่ภาคเกษตรกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกราวร้อยละ 18 เปอร์เซ็นต์ ภาคอุตสาหกรรมราวร้อยละ 10

รายงานระบุว่า กลไกการตั้งราคาคาร์บอน (carbon pricing) จะเป็นเครื่องมือสำคัญ หากออกแบบมาเป็นอย่างดี จะช่วยสะท้อนต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมของการปล่อยก๊าซ ช่วยปรับการลงทุนและการบริโภค และสร้างรายได้สนับสนุน นวัตกรรมสีเขียว แต่ทั้งนี้ ยังต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมือง สถาบันต่างๆ ที่เข้มแข็ง และการยอมรับจากประชาชน

เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวของการปล่อยลดคาร์บอน รายงานเสนอให้ประเทศไทยต้องมีการลงทุนและการปฏิรูปในหลายด้าน ซึ่งแบบจำลองโมเดลของธนาคารโลก ชี้ว่า หากมีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน ไทยจะสามารถบรรลุถึงความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ภายในปี 2050 และคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ได้ภายในปี 2065

รายงานเสนอให้มีการปฏิรูปภาคพลังงาน โดยยกเลิกสิทธิพิเศษของผู้ผลิตพลังงานฟอสซิล ปรับปรุงการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้า และสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโซลาร์เซล ลงทุนในแบตเตอรี่เก็บไฟฟ้า ใช้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถไฟฟ้า เปลี่ยนรถสาธารณะเป็นระบบไฟฟ้า และมาตรการส่งเสริมรถหนักใช้เชื้อเพลิงจากชีวภาพ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคขนส่ง

นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการใช้เทคโนโลยีเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำ และลงทุนปลูกป่าเพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ เพื่อเพิ่มการดูดซับคาร์บอนจากพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น

รายงานระบุว่า หากไทยเริ่มใช้มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน จะส่งผลให้จีดีพีในปี 2050 สูงกว่าระดับฐานที่ร้อยละ 2.5 โดยการเติบโตระยะสั้นมาจากการลงทุน โดยเฉพาะในพลังงานหมุนเวียน ขณะที่การเติบโตระยะยาวมาจากการบริโภคในครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากพลังงานหมุนเวียนที่ราคาถูกลง รวมถึงการลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะที่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพจะช่วยสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศ

 

ลงทุนเพิ่ม 2 แสนล้านดอลลาร์ เพื่ออนาคต

 

ในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  และบรรลุถึงความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 รายงานของธนาคารโลก ประเมินว่า ไทยต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมราว 219,000 ล้านดอลลาร์ใน 25 ปีจากนี้ หรือคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 2.4 ของจีดีพีสะสม โดยเป็นการลงทุนเพื่อการปรับตัวให้มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ 115,000 ล้านดอลลาร์ ลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 85,000 ล้านดอลลาร์ และลงทุนเพื่อเปลี่ยนไปสู่เกษตรกรรมและการป่าไม้อัจฉริยะต่อสภาพภูมิอากาศราว 19,000 ล้านดอลลาร์

รายงานยังเสนอให้การแบ่งบทบาทระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยรัฐลงทุนในเรื่องของการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ  เช่น การป้องกันน้ำท่วม ความมั่นคงเรื่องน้ำ ส่วนภาคเอกชนลงทุนในเรื่องของพลังงานสะอาด และการปฏิรูปตลาดซื้อขายไฟฟ้าและระบบกลไกราคาคาร์บอน จะช่วยให้เอกชนลงทุนเพิ่มขึ้นในภาคขนส่ง เช่น การลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานเชื้อเพลิงจากชีวภาพ

 

ที่มา

Thailand Country Climate and Development Report (CCDR)