“ความเครียด” นั้นเป็นเรื่องปกติ ความเครียดเพียงเล็กน้อยอาจจะไม่ก่อให้เกิดปัญหา แต่ความเครียดในระดับที่รุนแรงและต่อเนื่องกันนานๆ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจของเราได้
ดร.เคย์ลา สตีล นักจิตวิทยาคลินิกจาก Black Dog สถาบันวิจัยสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย บอกว่า อาการ “ขี้หลงขี้ลืม” และ “ยากที่จะจดจ่อ” กับสิ่งที่ทำในชีวิตประจำวัน เป็นตัวอย่างของความเครียดที่ซุกซ่อนอยู่ และหากความเครียดนั้นเรื้อรัง ก็สามารถที่จะทำลายสมองส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้ ความจำ และการควบคุมตัวเองของเราได้
ดร.เคย์ลาอธิบายว่า ความเครียดส่งผลให้เกิดอาการได้หลายอย่าง เนื่องจากฮอร์โมนที่ควบคุมปฏิกิริยาตอบโต้ “สู้หรือหนี” เช่น อะดรีนาลีน และคอร์ติซอล ส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกายหลายระบบ ซึ่งร่างกายของเรามีตัวรับคอร์ติซอลอยู่ทั้งในสมอง ลำไส้ กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และระบบหัวใจและหลอดเลือด จึงช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมความเครียดจึงส่งผลอย่างมากมายต่อทั้งต่อร่างกายและจิตใจของเรา
“พันธุกรรม สุขภาพกายและใจ ภูมิหลังชีวิตของแต่ละคน ล้วนมีผลต่อการรับรู้และตอบสนองต่อความเครียดที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน สำหรับบางคน อาการของความเครียดอาจส่งผลต่อร่างกายในส่วนที่มีความเปราะบางอยู่แล้ว เช่น อาการตึงของกล้ามเนื้อที่หลังในคนที่เคยบาดเจ็บหลังมาก่อน” ดร.เคย์ลา กล่าว
นอกจากนี้ ความเครียดยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เราติดเชื้อหวัดและไวรัสได้ง่ายขึ้น เป็นหวัดและไข้หวัดบ่อยขึ้น หรือแผลหายช้าลง ความเครียดเรื้อรังยังนำไปสู่การอักเสบระดับต่ำเรื้อรัง ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบย่อยอาหาร หอบหืด และแม้แต่ไปเร่งกระบวนการแก่ตัวของร่างกายให้เร็วขึ้น
ความเครียด ยังส่งผลกับระบบย่อยอาหาร จากการสื่อสารระหว่างลำไส้และสมอง ความเครียดที่เพิ่มขึ้นจึงสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลำไส้ เช่น เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย ท้องผูก หรือปวดท้องได้
ดร.ซาราห์ ค็อกซ์ นักจิตวิทยาคลินิก บอกว่า สำหรับบางคน ความเครียดอาจทำให้ความอยากอาหารลดลง แต่บางคน ความเครียดอาจทำให้เกิดความอยากอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาหารหวานหรืออาหารที่ให้พลังงานสูง ความเครียดต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน สามารถรบกวนสัญญาณความหิวและความอิ่มตามธรรมชาติ ทำให้บางคนใช้การกินอาหารเพื่อความสบายใจ หรือใช้การกินเพื่อรับมือกับความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นต่อเนื่องอาจเปลี่ยนรูปแบบการกินอาจให้กลายเป็นนิสัยถาวรได้
นอกจากนี้ ความเครียดอาจแสดงออกในลักษณะอาการอื่นๆ เช่น การกัดฟัน ที่อาจเกิดทั้งขณะตื่นหรือหลับ และมักเกิดโดยที่เราไม่รู้ตัว และยังสามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวหรือปวดคอได้
ดร.เคย์ลา บอกว่า ถ้าเราสามารถระบุถึงสัญญาณของความเครียด ระบุถึงสิ่งที่กระตุ้นให้เราเกิดความเครียด และวิธีที่ร่างกายและจิตใจของเราตอบสนองกับความเครียด ก็จะสามารถช่วยให้เตรียมรับมือกับความเครียดล่วงหน้าได้ดีขึ้น และพยายามที่จะลดผลกระทบให้เกิดน้อยที่สุดได้ และรู้ถึงสัญญาณของความเครียดที่เป็นอาการเฉพาะตัวของตัวเอง เช่น วิตกกังวลมากขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น มีอาการปวดหัว มีอาการตัวสั่น หรือร่างกายรู้สึกตึง
เว็บไซต์ Black Dog มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมสำหรับความเครียด โดยการทำซ้ำ 4 ขั้นตอนซึ่งอาจช่วยให้เราเริ่มรับรู้ถึงความเครียดที่เกิดกับตัวเอง
ขั้นที่ 1 พิจารณาถึงเหตุการณ์อย่างหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่พบว่าทำให้เรารู้สึกเครียด พิจารณาว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน เราอยู่ที่ไหน มีใครอยู่กับเราตอนนั้นบ้าง และเรากำลังทำะไร
ขั้นที่ 2 ให้คะแนนระดับความเครียดจากน้อยที่สุดไปหามากที่สุด จาก 1 ถึง 5
ขั้นที่ 3 เราคิดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น เช่น คิดว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดจะเป็นยังไง หรือโฟกัสไปที่ตัวความเครียด
ขั้นที่ 4 พิจารณาว่า ความเครียดส่งผลทางร่างกาย เช่น ปวดเมื่อย ตึงตัว หรือเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ เช่น หงุดหงิดง่ายขึ้น ทำให้สมาธิลดลง หรือเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น รบกวนการนอนหรือไม่
ที่มา
Six hidden signs you’re under too much stress