Skip to main content

 

อายุที่ยืนยาวขึ้น จำนวนของประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นความท้าทายทางด้านสาธารณสุขและการดูแลสุขภาพระยะยาวของญี่ปุ่น แต่ขณะเดียวกัน ความท้าทายนี้ก็เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจและนวัตกรรมเกี่ยวกับ Longevity ของญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

ในปี 2024 จำนวนประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีของญี่ปุ่น มีจำนวนมากกว่า 36.25 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 29.3 ของประชากรทั้งประเทศ  และสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 34.8 ในปี 2040 และร้อยละ 36.3 ในปี 2045 ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่เป็นสังคมสูงวัยที่สุดในโลก และส่งผลให้ความต้องการการดูแลด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีการดูแลผู้สูงอายุ เช่น หุ่นยนต์ช่วยดูแล หรือแฟลตฟอร์มเอไอในปัจจุบัน

Longevity economy หรือเศรษฐกิจของการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ จะเป็นตัวขับดันนวัตกรรมและการลงทุนครั้งใหม่ของญี่ปุ่น จากจำนวนประชากรสูงวัย ทำให้ตลาด longevity ที่กำลังเกิดขึ้นมีขนาดที่ใหญ่มาก มีการคาดการณ์ว่า ขนาดของเศรษฐกิจภาคส่วนนี้จะขยายจาก 96 ล้านล้านเยนในปี 2023 ไปเป็น 115 ล้านล้านเยนในปี 2040 โดยที่ในปี 2023 มูลค่าตลาดของการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอยู่ที่ 29 ล้านล้านเยน การดูแลผู้สูงอายุอยู่ที่ 11.7 ล้านล้านเยน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์มีมูลค่า 55.7 ล้านล้านเยน  

ในปี 2024 กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ได้ปรับสาขาสำคัญในการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อการดูแลระยะยาว เป็นสาขาสำคัญในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการดูแลระยะยาว และเพิ่มกรอบการทำงานใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนการออกกำลังกายเพื่อการฟื้นฟู, การช่วยเหลือด้านการรับประทานอาหารและการจัดการโภชนาการ, และการสนับสนุนชีวิตประจำวันรวมถึงการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม และเพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ รัฐบาลได้จัดสรรเงินอุดหนุนเกือบ 30,000 ล้านเยนในงบประมาณปี 2025

หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของการใช้เทคโนโลยี คือ “หุ่นยนต์ดูแล” ที่จัดแสดงในงาน Expo 2025 Osaka ซึ่งมีการจัดแสดงหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ชื่อ AIREC ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยวาเซดะร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ โดยหุ่นยนต์นี้ติดตั้งเทคโนโลยีเอไอที่สามารถช่วยเหลือกิจวัตรประจำวันที่ทำได้ยาก เช่น การใส่ถุงเท้า ให้กับผู้สูงอายุ

ในแผนการพัฒนา มีเป้าหมายที่จะทำให้หุ่นยนต์ทำงานบ้านที่มีความเสี่ยงต่ำออกจำหน่ายภายในปี 2030 และภายในปี 2040 จะขยายความสามารถของหุ่นยนต์ไปสู่การบริการต้อนรับ งานบ้าน การดูแลผู้สูงอายุ การพยาบาล และหัตถการทางการแพทย์บางประเภท และภายในปี 2050 หุ่นยนต์เหล่านี้คาดว่าจะพัฒนาไปสู่การเป็น “เพื่อนคู่หู” ของผู้สูงอายุ ที่สามารถสื่อสารได้ทั้งทางภาษาและการสัมผัส

นอกเหนือจากด้านการแพทย์และการพยาบาลแล้ว อุตสาหกรรมด้านไลฟ์สไตล์สำหรับผู้สูงอายุในญี่ปุ่นก็กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว หนึ่งในกลุ่มที่เติบโตเร็วคือ “บริการเพื่อนคุย” กระทรวงสาธารณสุข พบว่า จำนวนครัวเรือนผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไปและอยู่เพียงลำพัง มีมากกว่า 9 ล้านครัวเรือนเป็นครั้งแรกในปี 2024 โดยในจำนวนนั้น ร้อยละ 61.7 เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป

ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่คนเดียวนั้นมีความเสี่ยงสูงในการตรวจพบอาการเจ็บป่วยล่าช้า และความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมที่มากขึ้นเนื่องจากการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม จึงมีการคาดการณ์ว่าตลาดบริการเพื่อนคุยจะมีมูลค่าเกินกว่า 1 แสนล้านเยน

บริการเหล่านี้มีตั้งแต่ เพื่อนคุยในชีวิตประจำวันทั่วไป ไปจนถึงผู้สื่อสารที่ผ่านการฝึกฝนเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ การมีปฏิสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอไม่เพียงช่วยสร้างความอุ่นใจ แต่ยังช่วยเฝ้าติดตามสุขภาวะของผู้สูงอายุด้วย ปัจจุบันยังมีแพลตฟอร์มจับคู่สำหรับผู้สูงอายุเกิดขึ้นใหม่ เช่น Hahalol สำหรับผู้ใช้งานที่อายุ 50 ปีขึ้นไป โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ วิเคราะห์โปรไฟล์และจับคู่ผู้ใช้เข้ากับคู่ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเชิงโรแมนติกหรือเพื่อนสนิท

ประสบการณ์ของญี่ปุ่นในฐานะสังคมสูงวัยที่สุดในโลก แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมและบริการรูปแบบใหม่ๆ ภายใต้เศรษฐกิจผู้สูงอายุ และอาจเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าสำหรับประเทศที่กำลังเผชิญภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วอย่างประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างอนาคตที่มีความยั่งยืนและมีความยืดหยุ่น


ที่มา
How Japan’s longevity economy is creating new opportunities