ที่เนเธอร์แลนด์ การซื้อสินค้าที่บรรจุกระป๋อง ขวดแก้ว หรือภาชนะที่ทำจากพลาสติก จะต้องจ่าย “เงินมัดจำ” หรือ statiegeld ตั้งแต่ 15 ถึง 25 เซ็นต์ หรือตกราว 13 ถึง 15 สตางค์ ขึ้นอยู่ขนาดและประเภทของภาชนะ ซึ่งเงินเหล่านี้สามารถรับคืนได้ เมื่อนำภาชนะกลับไปคืนที่ “เครื่องรับคืน”
โดยปรกติ เครื่องรับคืนขวดและกระป๋องพลาสติกจะตั้งอยู่ตามร้านขายของชำ ซึ่งอยู่ในระยะเดินถึง โดยร้านจะรับคืนเฉพาะขวดหรือกระป๋องยี่ห้อที่วางขายภายในร้านเท่านั้น ซึ่งเนเธอร์แลนด์ไม่มีกฎหมายกำหนดให้ร้านค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ตต้องมีเครื่องรับคืนบรรจุภัณฑ์พลาสติกเหล่านี้ในที่ตั้งของร้าน
เนเธอร์แลนด์ มีกฎหมายที่กำหนดให้บริษัทผลิตเครื่องดื่ม ต้องรับบรรจุภัณฑ์พลาสติก เช่น ขวด หรือกระป๋องของตัวเองกลับคืนไปไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของยอดจำหน่าย แม้กฎหมายจะกำหนดไว้แบบนั้น แต่ความเป็นจริงในทางปฏิบัติแล้ว บริษัทผลิตเครื่องดื่มก็ยังทำไม่ได้ถึงเป้าหมายที่กฎหมายระบุไว้
ข้อมูลจาก Verpact องค์กรไม่แสวงผลกำไรซึ่งทำงานในประเด็นการคืนบรรจุภัณฑ์และการรีไซเคิล พบว่า ในปี 2024 บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่ทำจากพลาสติก สามารถเก็บคืนได้ร้อยละ 77 และสามารถเก็บคืนกระป๋องได้ร้อยละ 84 แต่เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ สัดส่วนนี้ถือว่า ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ
ในปีนี้ Verpact จึงได้ทดลองวิธีใหม่ ด้วยการเริ่มวางเครื่องรับคืนขวดและกระป๋อง โดยเปิดตัวครั้งแรกที่เมืองรอตเตอร์ดัม เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเครื่องมีความสามารถรับคืนกระป๋องและขวดได้มากถึงครั้งละ 200 ชิ้น
ล่าสุด ได้มีการเปิดร้านรับคืนขวดและกระป๋องที่ชื่อ Statiegeld ขึ้นอีก 2 แห่งในเมืองหลวง อัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน โดยกลุ่มเป้าหมายที่มาใช้บริการ คือ ร้านค้าในเมือง นักท่องเที่ยว และคนที่เก็บรวบรวมขวดกับกระป๋องมาแลกเงิน
“สำหรับบางคนแล้ว พวกมันเป็นแค่ขยะ แต่กับอีกหลายคน มีหมายถึงการที่พวกเขาจะมีอาหารกิน” เจ้าหน้าที่จาก Kiepe Safety Group ซึ่งทำงานในร้านรับคืนขวดและกระป๋องกล่าว
เนเธอร์แลนด์ ไม่ได้เป็นประเทศแรกที่ให้มีระบบรับคืนขวดเบียร์และขวดหรือกระป๋องเครื่องดื่ม ในปี 1970 ที่รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เคยมีการริเริ่มระบบรับคืนนี้มาก่อนแล้ว ขณะที่สวีเดน เป็นชาติแรกในยุโรปที่ทำในลักษณะเดียวกันในปี 1984 ส่วนเนเธอร์แลนด์เริ่มต้นการรับคืนบรรจุภัณฑ์แก้วและพลาสติกเมื่อปี 2006 และมีการขยายการรับคืนต่อเนื่องทุกปี นอกจากนี้ ในยุโรปยังมีประเทศอื่นๆ ที่มีระบบรับคืนแบบเดียวกันนี้ เช่น นอร์เวย์ เยอรมนี ไอร์แลนด์
นอกจากนี้ สหภาพยุโรป ยังกำหนดให้ชาติสมาชิก ต้องมีการเก็บรวบรวมบรรจุภัณฑ์ขวดและกระป๋องพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวกลับคืนจากผู้บริโภคให้ได้ถึงร้อยละ 90 ซึ่งมาตรการนี้ทำให้ชาติต่างๆ ที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปต้องผนึกกำลังกัน
เฮสเตอร์ ไคลน์ ลังคฮอร์สท์ ซีอีโอของ Verpact มองว่า การติดตั้งเครื่องรับคืน และร้านรับคืนบรรจุภัณฑ์พลาสติก เป็นวิธีที่จะช่วยให้บรรลุถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ในกฎหมายของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งตั้งเป้าเอาไว้สูงและมีกำหนดระยะเวลาที่สั้น จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ และบริษัทที่ผลิตสินค้าออกวางจำหน่ายมีความรับผิดชอบตามกฎหมายในการจัดการรวบรวมและรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ของตัวเอง และต้องส่งรายงานไปยังรัฐบาลทุกปี
ส่วนกระบวนการหลังรับคืนบรรจุภัณฑ์พลาสติกแล้ว จะมีการแยกประเภท ทำความสะอาด และเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนให้เป็นวัตถุดิบที่สามารถขายคืนให้กับผู้ผลิตขวดและกระป๋อง Verpact ระบุว่า ในปี 2023 ขวด PET หรือขวดน้ำที่ผลิตจากพลาสติกประเภท polyethylene terephthalate ที่ใช้งานแล้วร้อยละ 44 ถูกนำไปรีไซเคิลและนำมาผลิตเป็นขวดใหม่ ซึ่งในปี 2025 เนเธอร์แลนด์ต้องการให้วัตถุดิบในการผลิตขวด PET ใหม่ร้อยละ 25 มาจากวัตถุดิบที่ถูกนำมารีไซเคิล
กระทรวงการจัดการน้ำและสาธารณูปโภค ของเนเธอร์แลนด์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยอูเทร็คต์ ทำการศึกษาพบว่า นับตั้งแต่มีการเปิดร้านรับคืนบรรจุภัณฑ์ ทำให้จำนวนของขยะที่เป็นขวดและกระป๋องพลาสติกในเนเธอร์แลนด์ลดลงได้ถึงร้อยละ 69
ที่มา
‘For some this is junk, for others food’: the shops collecting plastic waste and handing back cash