ทุกวันนี้เหมือนทุกคน “ออกกำลังกาย” กันหมด ไม่ใช่แค่คอนเทนต์ "ออกกำลังกาย" ที่ท่วม Instagram เท่านั้น แต่ทุกวันนี้ "การออกกำลังกาย" เริ่มกลายเป็นเหมือน "หน้าที่" ของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะมนุษย์ในวัยกลางคน แต่สำหรับคนอายุน้อยๆ การออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องอื่นไกล การรวมกลุ่มกันไปวิ่งกลายเป็นเรื่องปกติของคนวัยทำงาน หรือกระทั่งการเข้ายิมเพื่อออกกำลังกายให้ร่างกายกระชับเข้าที่เข้าทางก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอีกต่อไป
แน่นอน ทั้งหมดนี้หน่วยงานด้านสาธารณสุขแห่งชาติอาจยิ้มดีใจกับการที่ผู้คน "ดูแลตัวเอง" แต่อีกด้าน คำถามสำคัญทางประวัติศาสตร์ก็คือ แล้วทำไมอยู่ดีๆ วันดีคืนดี คนถึงลุกขึ้นมาออกกำลังกายกันจริงจัง? เพราะคนที่อายุมากพอทุกคนน่าจะจำได้ว่า ในชีวิต คนมันไม่ได้ "บ้าออกกำลัง" กันแบบนี้แน่ๆ
นักประวัติศาสตร์อเมริกันที่เป็นคนเยอรมันอย่าง Jürgen Martschukat ได้เสนอเอาไว้ในหนังสือ The Age of Fitness: How the Body Came to Symbolize Success and Achievement ว่า ปรากฏการณ์ "บ้าออกกำลัง" นี้เกิดขึ้นกับชัยชนะของลัทธิเสรีนิยมใหม่ช่วงหลังสงครามเย็น และค่อยๆ แพร่กระจายในโลกมา 30 กว่าปีแล้ว และมาอิ่มตัวเต็มที่ในยุคปัจจุบัน
ข้อเสนอของ Martschukat เอาจริงๆ คล้ายๆ กับงาน The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism ชิ้นคลาสสิคของ Max Weber แต่อาจเป็นด้านกลับ เพราะถ้า Weber เสนอว่าการ "ควบคุมร่างกาย" ของนิกายใหม่ๆ ของศาสนาคริสต์มีส่วนทำให้เกิดทุนนิยม Martschukat กำลังเสนอว่า ทุนนิยมมันกำลังทำให้เรา "ควบคุมร่างกาย" ผ่านการวาดภาพอุดมคติของร่างกายมนุษย์ จนคนต้องไปออกกำลังกาย และศูนย์กลางของปรากฏการณ์นี้คือ สหรัฐอเมริกา
อเมริกาเป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศเดียวที่ไม่มี "การประกันสุขภาพถ้วนหน้า" และสาเหตุอันดับหนึ่งของการ "ล้มละลาย" ก็คือ "ค่ารักษาพยาบาล" ดังนั้น ก็ไม่แปลกนักที่คนอเมริกาจะใส่ใจดูแลสุขภาพกว่าคนยุโรป เพราะอุดมการณ์ของรัฐคือ บอกประชาชนว่า "ต้องดูแลตัวเอง" มาเป็นพื้นฐาน และจริงๆ นี่ก็คือความแตกต่างระดับ "ปรัชญาการเมือง" ของสหรัฐอเมริกากับยุโรป
แต่สิ่งที่ Martschukat พยายามชี้ก็คือ อเมริกาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอ ในตอนแรกวิธีคิดของสังคมอเมริกันคือ ทุกคนเป็นปัจเจกที่ต้องดูแลตัวเองก็จริงมาตลอดตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศ แต่เหตุการณ์เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอย่าง The Great Depression ในทศวรรษ 1930 ทำให้วิธีคิดของคนอเมริกันเปลี่ยน และเริ่มมามองว่า คนเราไม่สามารถเอาตัวรอดแบบปัจเจกได้ และนั่นทำให้อุดมคติร่างกายและการดูแลร่างกายเปลี่ยน
อธิบายง่ายๆ คือ คนอเมริกันไม่ได้มองว่าร่างกายของปัจเจกนั้นเป็นภาระหน้าที่ของปัจเจกต้องดูแลแต่ลำพังอีกแล้ว รัฐต้องมีส่วนช่วยดูแลด้วย ซึ่งผลรวมๆ ที่เราจะเห็นได้ชัดจากการขยายอำนาจของ "องค์การอาหารและยา" (Food and Drug Administration หรือ FDA) อย่างมหาศาลในช่วงการปรับโครงสร้างรัฐขนาดใหญ่ของอเมริกาหลัง The Great Depression ซึ่งในทางนโยบายเรียกว่า ยุค The New Deal
ถ้าจะอธิบายสั้นๆ ก็คือ ตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และตลอดสงครามเย็น คนอเมริกันไม่มีความคิดว่า ต้อง "ดูแลตัวเอง" แบบทุกวันนี้ เพราะมองว่า รัฐต้องช่วยอำนวยความปลอดภัยให้ชีวิต ซึ่งถ้าจะใช้คำที่แสลงหูคนอเมริกันปัจจุบันก็คือ ช่วงนั้นสหรัฐอเมริกามีลักษณะเป็น "รัฐสวัสดิการ" แบบอ่อนๆ ไปในทางเดียวกับพวกชาติยุโรปตะวันตกยุคเดียวกัน
แต่ก็แน่นอน พอสงครามเย็นจบ ความคิดทุกอย่างเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากการพยายาม "ทำอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง" ของประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ตลอดศตวรรษ 1980 ซึ่งชัยชนะเลือกตั้งระดับ "แลนสไลด์" ของเรแกน ผู้ประกาศกว่ารัฐบาล คือ "ตัวปัญหา" และตลาด คือ "คำตอบ" ทำให้มีการ "ลดอำนาจรัฐบาลกลาง" อย่างสนุกสนาน โดยทั้งหมดทำในภาวะที่เศรษฐกิจอเมริกันเฟื่องฟูสุดๆ ตลาดหุ้นพุ่งบ้าคลั่ง รายได้คนอเมริกันก็พุ่งเช่นกัน และทุกอย่างมุ่งไปสู่จุดสิ้นสุดของสงครามเย็น สหภาพโซเวียตแตก กำแพงเบอร์ลินโดนทุบ คอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ และนั่นทำให้คนอเมริกันมีภาพจำความรุ่งเรืองของ "เสรีภาพ" อันยิ่งใหญ่ของทุนนิยมและระบบตลาด
ทุกวันนี้เราเรียกสิ่งเหล่านี้่ว่า "ลัทธิเสรีนิยมใหม่" ซึ่งในทางนโยบายเศรษฐกิจเราคงลงรายละเอียดในที่นี้ไม่ได้นอกจากบอกสั้นๆ ว่า มันคือแนวคิดว่า "ตลาด คือ คำตอบของทุกคำถาม รัฐต้องมีบทบาทน้อยที่สุด" (เว้นการทหาร แต่นั่นคืออีกเรื่องหนึ่ง)
กลับมาที่ร่างกายของพลเมืองอเมริกัน Martschukat บอกว่า มันไม่ใช่เรื่อง "บังเอิญ" ที่คนอเมริกันหันมาออกกำลังกายจริงจังในยุคที่เสรีนิยมใหม่ครองเมือง สุดท้ายเค้าบอกว่า มันคือความคลั่งการเป็นปัจเจกที่มีร่างกายสมบูรณ์ "ด้วยตัวเอง" และการพยายามปั้นแต่งให้ร่างกายสมบูรณ์แบบด้วยตัวเองที่มองเห็นและจับต้องได้ก็คือการทำให้ร่างกายมีความกระชับ หุ่นดี ผ่านการออกกำลังกาย และจริงๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนจะมีโซเชียลมีเดียที่เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมเหล่านี้อย่าง Instagram ซะอีก (Instagram เกิดปี 2010) แต่ Instagram นี่แหละเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลในการแพร่กระจาย "อุดมการณ์" แบบนี้ไปทั่วโลก โดยคนก็ไม่ได้ตระหนักเลยว่าทุกอย่างมันมีความเป็นเสรีนิยมใหม่อเมริกันมากๆ
พูดง่ายๆ ก็คือ แม้ว่าทุกอย่างจะได้รับประกันภายใต้ความรู้ทางกายแพทย์บางแบบ แต่เอาจริงๆ ถ้าลองไปเทียบดู เราก็จะไม่เห็นคนในประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่นๆ "บ้าออกกำลังกาย" แบบคนอเมริกัน พวกคนยุโรปก็ไม่เป็น ชาติที่ซี้กับอเมริกันอย่างญี่ปุ่นก็ไม่เป็น ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าคนในชาติเหล่านี้ "ไม่ออกกำลัง" เค้าออกกำลัง แต่เค้าไม่ได้รู้สึกว่ามันคือ "อัตลักษณ์" หรือเรื่องราวใดๆ ที่จะต้องมาบอกให้โลกรู้ ซึ่งนั่นก็ยังไม่นับว่าชาติเหล่านี้ด้วยโครงสร้างการใช้ชีวิตมันเป็นการ "ออกกำลัง" อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเดิน เดิน และก็เดินแบบญี่ปุ่น หรือจะเป็นการปั่นจักรยานไปได้ทั่วแบบพวกคนเมืองใหญ่ๆ ในยุโรป
แน่นอน อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆ คนก็อาจเห็นว่า ที่คนอเมริกัน "ต้องออกกำลัง" อาจไม่ใช่แค่เพราะว่าพวกเค้าไม่มีรัฐสวัสดิการคอยดูแลสุขภาพ หรือไม่มีโครงสร้างการเดินทางที่ต้องเดินเยอะๆ ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่อาจเพราะอาหารการกินของคนอเมริกันเป็นตัวที่ "ทำให้อ้วน" ด้วย โดยเฉพาะอาหารจากอุตสาหกรรมที่เป็นความภูมิใจของทุนนิยมอย่างฟาสต์ฟู้ด
แต่นั่นก็นำมาสู่บทสรุปในยุคปัจจุบัน ที่คนอเมริกันเริ่มไม่ "ออกกำลังกาย" กันเหมือนเดิมแล้ว เพราะ "ความอ้วน" ถูกมองว่าเป็นปัญหาทางการแพทย์ที่ "ใช้ยารักษา" ได้ โดยยาที่ทำการ "ปฏิวัติ" การลดความอ้วนก็คือ ยาที่มีชื่อทางการตลาดในอเมริกาว่า Ozempic แต่จริงๆ มันก็มียาที่มีสรรพคุณคล้ายกันอีกมากมายที่รวมๆ เรียกว่ายากลุ่ม GLP-1 (ตามชื่อฮอร์โมนของร่างกายมนุษย์ที่ยากลุ่มนี้เลียนแบบ) ซึ่งอธิบายง่ายๆ ยาที่ใช้ไปแล้วจะไม่รู้สึกหิว เพราะผลรวมๆ มันคือการ "หลอกร่างกายว่ากินข้าวแล้ว" โดยพื้นฐานมันเป็นยาที่ใช้บรรเทาอาการเบาหวานชนิดที่ 2 แต่สุดท้าย ผลของมันทำให้คนผอมลงได้อย่างรวดเร็วมาก คนเลยเอามาใช้เป็น "ยาลดความอ้วน" กันไป
ผลสำเร็จของยากลุ่มนี้เห็นได้บนเรือนร่างของคนดังอเมริกันยุคหลังโควิด-19 ระบาด ซึ่งหลายคนก็เรียกได้ว่า "ผอมจนผิดสังเกต" ซึ่งบางคนก็ยอมรับว่าใช้ยาตัวนี้ บางคนก็ไม่ยอมรับ และที่โหดคือช่วงหลังๆ "อินฟลู" สายการดูแลร่างกาย ออกกำลังกาย ลดความอ้วน ก็เริ่มออกมายอมรับว่าจริงๆ ที่เห็นตัวเองผอมลง คือมันไม่ใช่ผลจากการออกกำลังกายและคุมอาหาร แต่คือผลจากการใช้ยากลุ่ม GLP-1 ต่างหาก
แน่นอนว่าการ "ลวงโลก" แบบนี้มัน "ช็อควงการ" มาก แต่ในโลกของเสรีนิยมใหม่เอาจริงๆ แก่นสารไม่ได้ต่าง เพราะมันเปลี่ยนจากแค่ว่าร่างกายแบบอุดมคตินั้นต้องเกิดจากการตั้งใจออกกำลังกาย ไปเป็นการ "ผอมจากการใช้ยา" ก็ได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึงได้
หลายคนก็อาจพอจะรู้ว่า พวกยาใหม่ๆ ในท้องตลาดที่ยังไม่หมดสิทธิบัตร ราคามันสูงลิบลิ่วเสมอ ซึ่งค่ายากลุ่มนี้เดือนนึงคือหลักหมื่นบาท ปีนึงหลักแสนบาท และเมื่อเริ่มใช้ มันจะหยุดใช้ไม่ได้ กล่าวคือถ้าใช้แล้วผอม หยุดใช้ก็จะกลับมาอ้วนทันที
นี่เลยนำมาสู่ "ความตลกร้ายของเสรีนิยมใหม่" เพราะมันเอาของกินอ้วนๆ มาขายทำกำไร จ้างคนทำโฆษณาเด็ดๆ แบบไม่กลัวคนกินไปอ้วน ออกแบบสังคมให้คนไม่ได้ออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน แล้วก็มาบอกให้คนดูแลตัวเอง เอาคอร์สออกกำลังกายและอาหารเสริมสารพัดมาขาย สุดท้ายบอกว่า ถ้าทำทุกอย่างไม่ได้เรามียามาขายให้คุณผอม
ทั้งหมดมันนำคนกลับมาที่เดิมที่ๆ ตัวเองผอม แต่ระหว่างทางเสียเงินไปทุกระดับ สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากมาย แต่สุดท้ายคำถามคือ มันดีจริงๆ เหรอกับการต้องกินจนอ้วน เพื่อจะใช้ยาให้กลับมาผอม หรือกระทั่งไปซื้อคอร์สออกกำลังกายให้กลับมาผอม?
นั่นทำให้นักคิดสาย "ต้านการเติบโต" (Degrowth) บางคนอาจพูดถูกก็ได้ เพราะสุดท้ายทุนนิยมมันสร้างปัญหาขึ้นมาเอง แล้วก็แก้เอง และเรียกกระบวนการทั้งหมดว่า "การเติบโตทางเศรษฐกิจ" ทั้งที่จริงๆ มันอาจไม่ได้ทำให้สวัสดิภาพของมนุษย์ในระบบเศรษฐกิจดีขึ้นเลยก็ได้
จากตรงนี้ ถ้าเราต้องกลับไปตอนแรกสุด สิ่งที่เราอาจต้องถามตัวเองก็คือ เราอยู่ใต้วิธีคิดแบบไหนในสังคมแบบไหน เราจึงต้อง "ออกกำลังกาย” ถึงจะมี "สุขภาพดี"?
อ้างอิง
Why are Americans obsessed with fitness? The answer: Neoliberalism
Health and Wellness Influencer Sparks Backlash After Revealing She Used Weight Loss Medication
The cost of weight loss drugs is finally dropping. How low can prices go?