Skip to main content

 

ในอนาคต “บ้าน” จะกลายเป็นศูนย์ดูแลผู้ป่วยแบบไฮบริดของสิงคโปร์ โดยการใช้เครื่องมือเอไอ ผสานกับระบบที่บุคลากรการแพทย์เป็นผู้ควบคุม ซีอีโอบริษัทสตาร์ทอัพในสิงคโปร์ระบุว่า สิงคโปร์มีความพร้อมในเรื่องนี้มากกว่าที่คิด

“บ้าน” จะสามารถเป็นศูนย์ดูแลผู้ป่วย โดยมีเทคโนโลยี “เอไอ” เป็นระบบพื้นฐานในการดูแลผู้ป่วยได้หรือไม่ ? คำตอบ คือ มีความเป็นไปได้ เมื่อเอไอมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น และฮาร์ดแวร์เกี่ยวกับเอไอสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ดร.ชราวาน เวอร์มา ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Speedoc สตาร์ทอัพเฮลท์เทคในสิงคโปร์ บอกว่า เอไอ จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงบทบาทของบุคลากรทางการแพทย์ แต่จะไม่สามารถมาแทนที่ได้ โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน เนื่องจากเอไอไม่สามารถเลียนแบบกิริยาท่าทางของหมอ ไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และไม่สามารถตัดสินใจอย่างละเอียดอ่อนกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนหรือสถานการณ์ไม่มีความแน่นอนได้

ดร.ชราวานกล่าวว่า เอไออาจบอกได้ว่า "คุณอาจหัวใจวาย" แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ต้องมีคนรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล รวมถึงขั้นตอนการรักษาต่อมายังต้องใช้มนุษย์เป็นหลัก

นอกจากนี้ คนที่ดูแลความต่อเนื่องของการรักษา จัดการให้ผู้ป่วยได้รับยาและการติดตามอาการตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยอาการดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะกับการรักษาที่บ้าน เช่น การให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด การเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ฯ ล้วนแต่ต้องใช้มนุษย์

ดร.ชราวานบอกว่า เอไอมีความพร้อมแล้วในการดำเนินการระดับพื้นฐาน ซึ่งที่ศูนย์สั่งการของ Speedoc ใช้เอไอในการคัดกรองผู้ป่วย โดยเอไอสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์ตรวจวัดต่างๆ เช่น เครื่องวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด เครื่องวัดความดันโลหิต ถ้าหากผู้ป่วยมีแนวโน้มกำลังเข้าขั้นอันตราย แพทย์จะได้รับการแจ้งเตือนก่อนที่อาการของผู้ป่วยจะแย่ลง และจะสามารถจัดเตรียมห้องฉุกเฉินไว้รองรับได้ทันที

บุคลากรทางการแพทย์ คาดหวังว่าเทคโนโลยีเอไอจะช่วยให้การทำงานของพวกเขาเร็วขึ้น ช่วยลดภาระงานเอกสารที่มากเกินจำเป็น ช่วยคัดกรองผู้ป่วยได้ฉลาดขึ้น และให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยเองก็เริ่มคุ้นเคยกับระบบดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การนัดหมายออนไลน์หรือแชทกับหมอผ่านแอป แต่พวกเขาก็ยังคาดหวังว่าเทคโนโลยีจะต้องให้ความรู้สึกที่เป็นส่วนตัว และมีความฉลาดด้วย

ดร.ชราวานบอกว่า ในระยะต่อไป จะนำเอไอมาใช้คาดการณ์การรักษาในผู้ป่วยที่อาการหนัก และใช้ในการบริหารจัดการขั้นตอนต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันไม่ให้อาการของผู้ป่วยโรคลุกลาม และทำให้กระบวนการติดตามอาการตามนัดเป็นไปโดยอัตโนมัติ สุดท้ายคือ การสร้างเอไอที่ทำงานร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ โดยเปรียบเสมือนผู้ช่วยในการรักษา

ดร.ชวารานบอกว่า แชตบอตและเครื่องมือเอไอ สามารถช่วยในระยะแรกของการดูแลผู้ป่วยได้ เช่น คัดกรองเบื้องต้นหรือให้คำแนะนำเบื้องต้น แต่เมื่อสถานการณ์ซับซ้อนขึ้น ต้องมีการส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ทันที และต้อง ระวังปัญหาเรื่อง "อคติ" ที่อาจแฝงอยู่ในข้อมูลที่ใช้ฝึกเอไอด้วย รวมถึงโอกาสที่เอไออาจตีความและความเป็นไปได้ที่เอไอจะวินิจฉัยโรคผิดพลาด

ดร.ชราวาน บอกว่า สิงคโปร์มีความพร้อมในเรื่องนี้มากกว่าที่เคยคิดกัน ในสิงคโปร์เขาเห็นถึงนโยบายที่ชัดเจนเรียงรายกันออกมา ร่วมกับความเชื่อมั่นของผู้คนต่อระบบดิจิทัล และความคิดของผู้ป่วยที่เปิดรับการดูแลรักษานอกโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

การนำเทคโนโลยีเอไอมาช่วยเรื่องการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ใช้เอไอนำการรักษา แต่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวก เช่น ช่วยให้การคัดกรองอาการผู้ป่วยทำได้อย่างรวดเร็วขึ้น หรือช่วยให้พยาบาลไปถึงตัวผู้ป่วยในเวลาที่เหมาะสม พร้อมยาที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วยที่รับการดูแลที่บ้านได้อย่างแท้จริง


ที่มา
I bring healthcare to people's homes in Singapore. AI is changing home care, but it can't replace clinicians.